พฤติกรรม “ตัวแสบ” ร้อยประเภทในองค์การ

วันนี้ในขณะที่ผมกำลังวิเคราะห์หมวดหมู่หนังสือในห้องสมุดวัดไชยมงคล (ห้องสมุดที่ผมมาช่วยดูแลอีกแห่ง) ผมก็ได้เจอหนังสือเล่มนึง ที่พอผมอ่านชื่อเรื่องแล้วรู้สึกชวนให้หยิบมากๆ นั่นคือ หนังสือ “พฤติกรรม “ตัวแสบ” ร้อยประเภทในองค์การ” ซึ่งเป็นหนังสือในโครงการเอกสารและตำราของ Nida ผมเลยขอนำเนื้อหาบางส่วนมาโพสให้เพื่อนๆ อ่านแล้วกัน

ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้
ชื่อเรื่อง : พฤติกรรม “ตัวแสบ” ร้อยประเภทในองค์การ
ผู้แต่ง : ศาสตราจารย์ ดร.อรุณ รักธรรม และ อริชัย รักธรรม
จัดพิมพ์โดย : โครงการเอกสารและตำราคณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
ปีพิมพ์ : 2539
ISBN : 9748164527

ทีนี้เรามาทำความรู้จักกับตัวแสบขององค์กรกันหน่อยดีกว่านะ หนังสือเล่มนี้แบ่งตัวแสบขององค์กรเป็น 3 ส่วนใหญ่ๆ ได้แก่
1. เจ้านายตัวแสบ
2. เพื่อนร่วมงานตัวแสบ
3. ลูกน้องตัวแสบ

เรามาลองดูกันดีกว่าว่าตัวแสบของแต่ละประเภทมีอะไรกันบ้าง

1. เจ้านายตัวแสบ แบ่งกลุ่มพฤติกรรมได้ดังนี้

1.1 พฤติกรรมของนายปรปักษ์
1.2 พฤติกรรมของนายประเภทเย่อหยิ่ง
1.3 พฤติกรรมของนายหลอกลวง
1.4 พฤติกรรมของนายหาประโยชน์ส่วนตัว
1.5 พฤติกรรมของนายไม่ให้เกียรติลูกน้อง
1.6 พฤติกรรมของนายคิดถึงแต่ตัวเอง
1.7 พฤติกรรมของนายแบบเรือเกลือ
1.8 พฤติกรรมของนายดื้อรั้น
1.9 พฤติกรรมของนายประเภทเงียบ
1.10 พฤติกรรมของนายชอบจับผิด

2. เพื่อนร่วมงานตัวแสบ แบ่งกลุ่มพฤติกรรมได้ดังนี้

2.1 พฤติกรรมของเพื่อนร่วมงานเป็นปรปักษ์
2.2 พฤติกรรมของเพื่อนร่วมงานยโสโอหัง
2.3 พฤติกรรมของเพื่อนร่วมงานหลอกลวง
2.4 พฤติกรรมของเพื่อนร่วมงานเห็นแก่ตัว
2.5 พฤติกรรมของเพื่อนร่วมงานไร้มารยาท
2.6 พฤติกรรมของเพื่อนร่วมงานเห็นตนเองเป็นเลิศ
2.7 พฤติกรรมของเพื่อนร่วมงานเรือเกลือ
2.8 พฤติกรรมของเพื่อนร่วมงานดื้อรั้น
2.9 พฤติกรรมของเพื่อนร่วมงานไม่ชอบพูด
2.10 พฤติกรรมของเพื่อนร่วมงานคอยจับผิด

3. ลูกน้องตัวแสบ แบ่งกลุ่มพฤติกรรมได้ดังนี้

3.1 พฤติกรรมของลูกน้องปรปักษ์
3.2 พฤติกรรมของลูกน้องยโสโอหัง
3.3 พฤติกรรมของลูกน้องหลอกลวง
3.4 พฤติกรรมของลูกน้องชอบเอาเปรียบ
3.5 พฤติกรรมของลูกน้องมีปัญหา
3.6 พฤติกรรมของลูกน้องเห็นแก่ตัว
3.7 พฤติกรรมของลูกน้องเรือเกลือ
3.8 พฤติกรรมของลูกน้องดื้อรั้น
3.9 พฤติกรรมของลูกน้องประเภทเก็บความรู้สึก
3.10 พฤติกรรมของลูกน้องคอยจับผิด

เป็นไงบ้างครับแต่ละกลุ่ม แค่ชื่อก็รู้สึกว่าเป็นตัวแสบในองค์การได้แล้วใช้มั้ยครับ

ในหนังสือเล่มนี้จะบอกลักษณะย่อยๆ ของแต่ละกลุ่มลงไปอีกนะครับ แบบว่าละเอียดมากๆ
เช่น พฤติกรรมของนายปรปักษ์ จะแบ่งออกเป็นอีก 4 กลุ่ม เช่น คนเผด็จการ คนดื้อรั้น คนทารุณผู้อื่น คนระเบิดเวลา …

หนังสือจะบรรยายลักษณะของคนในแต่ละกลุ่ม วิธีรับมือกับคนในแต่ละกลุ่ม
รวมถึงตัวอย่างบทสนทนาของเจ้าตัวแสบที่ชอบพูดกับเราพร้อมแนวทางในการโต้ตอบกลับ
เอาเป็นว่าถ้าใครสนใจก็ไปอ่านเพิ่มเติมในหนังสือดูแล้วกันนะครับ

เพื่อนๆ เคยเจอเจ้าตัวแสบประเภทอื่นๆ อีกมั้ยครับ ยังไงก็เล่าสู่กันฟังได้นะครับ

ภาพห้องสมุดวันละรูป เรื่องง่ายๆ ที่ทำได้บน Facebook

ห้องสมุดหลายๆ ที่คงมี Facebook เป็นของตัวเองแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทั้งแบบ profile หรือ Page ก็ตาม “เพื่อนๆ ทำอะไรกับ facebook ห้องสมุดของเพื่อนๆ บ้าง” วันนี้ผมขอแนะนำการโปรโมทห้องสมุดแบบง่ายๆ ที่เพื่อนๆ สามารถนำไปทำได้ทันทีมาฝากครับ

การโปรโมทที่ว่านี้ คือ การถ่ายภาพห้องสมุดของเพื่อนๆ วันละ 1 รูป แล้วนำมาอัพโหลดลงอัลบั้ม “ห้องสมุดวันละรูป” ใน Facebook ของห้องสมุด เพื่อนๆ ไงครับ

กิจกรรมนี้ผมทดลองกับ facebook fanpage ของห้องสมุดประชาชนจังหวัดอุบลราชธานีแล้ว
ผลที่ตอบรับนับว่าเป็นที่น่าพอใจมาก ผู้ใช้บริการออนไลน์ให้ความสนใจกับรูปภาพต่างๆ ของห้องสมุดมาก
วัดได้จากสถิติการเข้าชมภาพ การกดถูกใจ และการแสดงความคิดเห็น….

คนเข้ามาดูภาพเยอะมาก แถมมีผลตอบรับที่ดีมากๆ ด้วยนะครับ

กิจกรรมนี้ทำได้ง่ายมากเลยครับ ผมขอแนะนำวิธีแบบง่ายๆ ลองนำไปทำกันดูนะ

อุปกรณ์สำหรับการถ่ายภาพห้องสมุด ได้แก่
– มือถือที่ใช้ถ่ายภาพได้
– กล้องเว็บแคมของคอมพิวเตอร์
– กล้องดิจิตอลทั้งแบบธรรมดา หรือ DSLR
– เครื่องสแกนรูปภาพ

เลือกใช้ได้เลยครับ ถนัดอะไรก็ใช้อันนั้นนะครับ

ถ่ายอะไรได้บ้างหรือถ่ายมุมไหนดี
– ชั้นหนังสือในห้องสมุด
– การให้บริการที่หน้าเคาน์เตอร์
– ผู้ใช้บริการอ่านหนังสือ
– กิจกรรมที่จัดในห้องสมุด
– ภาพเบื้องหลังการทำงานของบรรณารักษ์

เมื่อโพสรูปลงไปในอัลบั้บมแล้ว ถ้ามีคำบรรยายขอถ่ายภาพแต่ละภาพด้วยจะยิ่งดี ที่สำคัญลงวันที่ไว้ด้วยเพื่อเตือนความจำให้กับเราในอนาคตด้วย

14/8/54 คณะ นักศึกษา กศน.วารินชำราบ เยี่ยมชมห้องสมุดประชาชนจังหวัดอุบลราชธานี "ศูนย์ความรู้กินได้" กว่า 300 คน

ดูตัวอย่างของ “ห้องสมุดวันละรูป” ของ facebook fanpage ห้องสมุดประชาชนจังหวัดอุบลราชธานี
ได้ที่ http://www.facebook.com/media/set/?set=a.245804078771929.67239.219735101378827&type=1

เป็นไงบ้างครับ ง่ายหรือปล่าว เอาเป็นว่าลองไปทำกันดูนะครับ หากทำแล้วก็ส่ง URL มาให้ผมดูบ้างนะครับ
สำหรับวันนี้ก็ขอแนะนำเพียงเท่านี้ก่อนแล้วกันนะครับ อิอิ

prewedding เก๋ๆ ในห้องสมุดซีแอทเทิล – Seattle Public Library

หลายๆ คนคงรู้ว่าช่วงนี้ผมกำลังจะมีข่าวดี (ผมจะแต่งงานในเดือนธันวาคม 2554 นี้)
ดังนั้นช่วงนี้ผมคงต้องเตรียมตัวอะไรมากมาย วันนี้ผมเลยค้นข้อมูลเรื่องการถ่ย prewedding เล่นๆ
(จริงๆ ผมถ่าย pre wedding ไปแล้ว แต่ก็อยากถ่ายเพิ่มอีกนิดหน่อย โดยเฉพาะการถ่ายรูปแต่งงานในห้องสมุด)

หลังจากที่ค้นหาข้อมูล เรื่องการถ่ายภาพ pre wedding ในห้องสมุดดู (keyword : prewedding library)
ผมก็พบกับภาพของคู่แต่งงานคู่หนึ่งที่ถ่ายรูป prewedding ในห้องสมุด และห้องสมุดแห่งนั้นคือ ห้องสมุดซีแอทเทิล

ห้องสมุดซีแอทเทิล (Seattle Public Library) เป็นห้องสมุดที่ได้รับการออกแบบโดย Rem Koolhaas
การออกแบบภายในมีหลายส่วนที่เน้นสีสันสร้างความสวยงาม และมีบรรยากาศที่เหมาะแก่การเรียนรู้

หลังจากที่ได้ชมภาพคู่แต่งงานที่ใช้ห้องสมุดซีแอทเทิล เป็นสถานที่ในการถ่าย prewedding แล้ว
มันทำให้ผมรู้สึกว่า การที่ผมจะถ่ายรูป prewedding ในห้องสมุดคงจะดีไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว
(มันเข้ากับ concept ของนายห้องสมุดอย่างผมมากๆ)

แต่สิ่งหนึ่งที่ผมต้องคิดให้รอบคอบอีกนิด คือ ถ่ายอย่างไรเพื่อไม่ให้รบกวนผู้ใช้บริการคนอื่นๆ
เพราะห้องสมุดที่ผมคิดจะไปถ่าย คือ ห้องสมุดประชาชนจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งไม่มีวันหยุด ซะด้วยสิ
เอาเป็นว่าคงต้องรีบถ่ายอย่างรวดเร็ว และเตรียมหามุมถ่ายให้เรียบร้อย และดำเนินการให้เร็วที่สุดหล่ะมั้ง

สุดท้ายนี้ถ้าได้ถ่ายจริงๆ จะเอามาอวดให้เพื่อนๆ ได้ชมกันนะครับ อิอิ

ที่มาของข้อมูลและภาพทั้งหมดโดย http://www.studio-br.com/blog/2011/02/16/alyssa-dan-pre-wedding-engagement-photography-seattle-public-library/

credit : http://www.studio-br.com

“การลงทุน” “ผลตอบแทน” ของการมีห้องสมุดประชาชนในอเมริกา

บทความที่ผมกำลังจะนำมาให้เพื่อนๆ อ่าน เป็นบทความที่ผมเคยเขียนไว้ในบล็อกของที่ทำงานผม
เกี่ยวกับเรื่อง “การวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายและผลตอบแทนของการมีห้องสมุดประชาชน
เรื่องนี้ผมเห็นว่าน่าจะมีประโยชน์ต่อการคิดเรื่องการประเมินห้องสมุดประชาชนอ่ะครับ

“ลงทุน 1 เหรียญได้คืนกว่า 4 เหรียญ” คือ บทสรุปอันมีชื่อเสียงของเกลน ฮอลท์ (Glen Holt) ผู้อำนวยการห้องสมุดประชาชนเซนหลุยส์ ที่คำนวณออกมาให้เห็นว่า ทุกๆ หนึ่งเหรียญที่ได้รับการสนับสนุนจากภาษีประจำปี ห้องสมุดได้บริหารและก่อให้เกิดประโยชน์ทางตรงต่อผู้ใช้บริการเป็นมูลค่ามากกว่า 4 เหรียญ

จากคำกล่าวด้านบนทำให้เห็นว่า ในประเทศที่เจริญแล้วมักเห็นความสำคัญของการมีห้องสมุด ซึ่งนำมาอธิบายในเรื่องการลงทุนสำหรับการพัฒนาห้องสมุด โดยจะเห็นว่า เงินทุกเหรียญที่ผู้ใช้บริการจ่ายภาษีและเป็นงบประมาณในการพัฒนาห้องสมุด ห้องสมุดจะตอบแทนกลับคืนเป็น 4 เท่า

ผลตอบแทนที่ว่านี้อาจจะไม่ได้ตอบแทนเป็นเงินกลับสู่กระเป๋าผู้ใช้บริการหรอกนะครับ
แต่เป็นการตอบแทนในเรื่องของการพัฒนาสื่อต่างๆ และพัฒนาการให้บริการแก่ผู้ใช้บริการมากกว่า เช่น

– ไม่ต้องซื้อหนังสืออ่านเอง เพราะมาอ่านและยืมได้ที่ห้องสมุด
– ไม่ต้องซื้อนิตยสารหรือหนังสือพิมพ์เอง เพราะมาอ่านได้ที่ห้องสมุด
– ไม่ต้องซื้อสื่อมัลติมีเดียเอง เพราะมาดู มาชม มาฟังได้ที่ห้องสมุด
– มานั่งเล่นคอมพิวเตอร์ มาค้นข้อมูลได้ที่ห้องสมุด

ในประเทศสหรัฐอเมริกามีการวัดผล ประเมินความคุ้มค่า และผลตอบแทนของห้องสมุดออกมาเป็นตัวเลขที่เห็นชัดเจน ดูได้จากตารางด้านล่างนี้

จะสังเกตได้ว่าบางแห่งให้ผลตอบแทนมากถึง 6 เหรียญเลยทีเดียว เช่น ห้องสมุดประชาชนในรัฐฟลอริด้า บทความเรื่องผลตอบแทนของการมีห้องสมุดมีหลายบทความที่น่าอ่าน เช่น

http://ila.org/advocacy/pdf/Ohio.pdf

http://www.clpgh.org/about/economicimpact/

http://www.lrs.org/public/roi/

เอาเป็นว่าก็ลองเข้าไปอ่านกันดูได้นะครับ

หลายคนคงสงสัยว่าตัวเลขในการคำนวณความคุ้มค่าเขาวัดจากไหน ผมจึงขอยกตัวอย่างสักเรื่องนะครับ “ในปี 2553 ห้องสมุดแห่งหนึ่งมีผู้ใช้บริการจำนวน 3.5 ล้านคน และมีจำนวนการยืมสื่อในห้องสมุดจำนวน 6.4 ล้านรายการ หากตรวจสอบข้อมูลดูแล้วจะพบว่าหากผู้ใช้บริการเหล่านี้จ่ายเงินเพื่อซื้อสื่อเหล่านี้ พวกเขาจะต้องจ่ายเงินมากถึง 378 เหรียญต่อคนเลย”

นอกจากนี้ยังมีโปรแกรมในการคำนวณผลตอบแทนของห้องสมุดด้วย ซึ่งห้องสมุดต่างๆ ก็เพียงแค่กรอกข้อมูลลงในตามฟอร์มต่างๆ แล้วให้โปรแกรมคำนวณออกมาก็จะรู้แล้วครับว่า ห้องสมุดตอบแทนผู้ใช้บริการคืนกลับมาเท่าไหร่ เราไปดูหน้าตาของโปรแกรมตัวนี้กัน

เมื่อกรอกข้อมูลการใช้บริการในส่วนต่างๆ ตามที่โปรแกรมกำหนดแล้ว โปรแกรมจะคำนวณค่าเฉลี่ยของผลตอบแทนในการลงทุน และวัดความคุ้มค่าของการใช้บริการห้องสมุดออกมาเป็นตัวเลขต่างๆ ดังภาพ

เป็นยังไงกันบ้างครับโปรแกรมแบบนี้น่าสนใจใช่มั้ยหล่ะครับ ผมเองก็อยากให้เกิดในเมืองไทยเช่นกัน
ยังไงก็ฝากไปถึงผู้ใหญ่หลายๆ คนที่อำนาจในการตัดสินใจด้วยแล้วกันครับ

ต้นฉบับที่ผมเขียนสามารถดูได้จาก http://kindaiproject.net/kmshare-blog/cost-benefit-analysis-for-libraries.html#

การศึกษาดูงาน ณ ห้องสมุดเนลสันเฮย์ (Neilson Hays Library)

หลังจากฟังการบรรยายของวิทยากรหลายๆ คนในงานอบรมเชิงปฏิบัติการ “การเพิ่มมูลค่าบรรณารักษ์การแพทย์”
ช่วงบ่ายของวันที่ 3 สิงหาคมก็มีการจัดไปศึกษาดูงานกันที่ห้องสมุดเนลสันเฮย์ (Neilson Hays Library)
ผมจึงขอตามไปดูงานด้วย และได้เก็บภาพต่างๆ มามากมายเพื่อให้เพื่อนๆ ที่ไม่ได้มาได้ชมห้องสมุดกัน

การไปศึกษาดูงานที่ห้องสมุดเนลสันเฮย์ (Neilson Hays Library) ของกลุ่มบรรณารักษ์การแพทย์ค่อยข้างจะสนุกกว่าทุกที่ที่ผมเคยพบ นั่นคือทางเจ้าภาพของงานได้เหมารถ ปอ สีส้ม สาย 77 จำนวน 1 คัน เป็นรถที่จะพาเราไปศึกษาดูงาน เอาเป็นว่า ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหาร วิทยากร ผู้ฟัง ต่างก็ได้ใช้บริการรถเมล์คันดังกล่าวทั้งนั้น บางคนนั่ง บางคนยืน สนุกสนานครับ เดี๋ยวลองดูในอัลบั้มรูปแล้วกันนะครับ

พอไปถึงที่ห้องสมุดเนลสันเฮย์ (Neilson Hays Library) ก็เกิดอุปสรรคขึ้นนิดหน่อย คือ จำนวนผู้ที่เข้าชมเกือบๆ 70 กว่าคนครับ เลยต้องแบ่งการเข้าชมออกเป็น 2 กลุ่มด้วยกัน ผลัดกันชมด้านนอกกลุ่มนึงด้านในกลุ่มนึง

เคยได้ยินคนพูดว่า ห้องสมุดเนลสันเฮย์ (Neilson Hays Library) เป็นห้องสมุดที่สวยที่สุดในกรุงเทพฯ

เรื่องของประวัติความเป็นมาของห้องสมุด (ของลอกมาจากวิกิพีเดีย : http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AE%E0%B8%AA%E0%B9%8C)

สมาคมห้องสมุดเนลสันเฮย์ (Neilson Hays Library) จดทะเบียนขึ้นเป็นสมาคมห้องสมุด เมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2412 โดยสมาชิกสมาคมสตรี (The Ladies’ Bazaar Association) ซึ่งสมาชิกเป็นสุภาพสตรีชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพ โดยนำรายได้จากการขายของของสมาคมสตรีนำมาจัดตั้งสมาคมห้องสมุดสตรีกรุงเทพ (The Bangkok Ladies’ Library Association) ขึ้นเพื่อให้บริการแก่ชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพโดยมีข้อบังคับของสมาคมที่ให้การบริหารงานนั้นต้องประกอบไปด้วยกรรมการสมาคมที่เป็นสตรีจำนวนไม่เกิน 12 คน

นายกสมาคมคนแรกซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งก็คือ นาง Sarah Blachley Bradley ซึ่งเป็นภรรยาของคุณหมอบรัดเลย์ (Dr.Dan Beech Bradley)

ในปี พ.ศ. 2454 ได้เปลี่ยนชื่อ จากสมาคมห้องสมุดสตรีกรุงเทพ เป็น สมาคมห้องสมุดกรุงเทพ

ส่วนชื่อปัจจุบันของห้องสมุด คือ สมาคมห้องสมุดเนลสันเฮย์ นั้นมาจากชื่อของนาง Jennie Neilson Hays ซึ่งชื่อเดิมของ นาง Jennie Neilson Hays คือ Jennie Neilson เป็นชาวเดนมาร์ก ครอบครัวได้อพยพไปอยู่อเมริกาต่อมาได้เดินทางเข้ามาเป็นมิชชั่นนารีในประเทศไทยในปี พ.ศ. 2427 และได้พบกับคุณคุณหมอ Thomas Heyward Hays ซึ่งเดินทางเข้ามาในประเทศไทยในปีพ.ศ. 2429 และทั้งคู่ได้แต่งงานกันในปี พ.ศ. 2430

ต่อมานาง Jennie Neilson Hays ได้เข้ามาทำงานให้กับสมาคมห้องสมุดโดยเตั้งแต่ปี พ.ศ. 2438 ตลอดเวลาเธออุทิศตัวและเวลาเพื่อทำกิจกรรมมากมายเพื่อให้ห้องสมุดสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ ในปี เธอทำงานให้กับห้องสมุดเป็นเวลาถึง 25 ปี และเธอได้เสียชีวิตด้วยโรคอหิวาตกโรคในเดือน เมษายน พ.ศ. 2463

ตั้งแต่จัดตั้งขึ้นเป็นสมาคมห้องสมุดในปี พ.ศ. 2414 เป็นต้นมาห้องสมุดไม่มีสถานที่ทำการถาวรย้ายไปตามที่ที่จะได้รับอนุเคราะห์จากสมาชิกและผู้ให้การสนับสนุนอยู่ตลอดเวลา หลังจากนาง Jennie Neilson Hays ได้เสียชีวิตลงในปี พ.ศ. 2463 ด้วยความรักที่เธอมีต่อห้องสมุด คุณหมอ Thomas Heyward Hays จึงได้สร้างอาคารถาวรและซื้อที่ดินริมถนนสุรวงศ์เพื่อยกให้เป็นของห้องสมุดและเป็นที่ระลึกถึงภรรยาของท่าน ดังนั้นสมาคมห้องสมุดกรุงเทพ (The Bangkok Library Association) จึงได้เปลี่ยนชื่อเป็น “ห้องสมุดเนลสันเฮย์” พร้อมกับอาคารใหม่ที่สร้างเสร็จเริ่มเปิดทำการในเดือน มิถุนายน พ.ศ. 2465 โดยสถานที่ตั้งนั้นอยู่ที่ เลขที่ 193,195 ถนนสุรวงศ์ และปัจจุบันห้องสมุดก็ยังเปิดให้บริการอยู่

อาคารแห่งนี้ออกแบบโดยสถาปนิกชาวอิตาเลียนชื่อ นายมาริโอ ตามานโญ (Mr.Mario Tamagno) และสถาปนิกผู้ช่วยชื่อนายจีโอวานี แฟร์เรโร (Mr.Giovanni Gerreo)ลักษณะอาคารเป็นรูปแบบนีโอคลาสสิค โดยผังอาคารเป็นรูปตัว H ทางเข้าเป็นห้องทรงกลมหลังคาทางเข้าเป็นโดม ซึ่งปัจจุบันทางเข้าเดิมได้ปิดและปรับปรุงให้ใช้เป็นห้องแสดงนิทรรศการแสดงผลงานศิลปะโดยใช้ห้องนี้ชื่อว่า Rotunda Gallery ส่วนทางเข้าไปย้ายไปอยู่ด้านข้างแทน

อาคารห้องสมุดเนลสันเฮย์ ได้รับรางวัลอนุรักษ์ดีเด่น ปี 2525 ของสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์

นี่ก็เป็นเรื่องราวแบบคร่าวของความเป็นมาเกี่ยวกับห้องสมุดเนลสันเฮย์ (Neilson Hays Library) ที่ผมประทับใจ คือ เรื่อง การสร้างห้องสมุดเพื่อเป้นที่ระลึกแก่ภรรยาที่เสียชีวิต เรื่องราวคล้ายๆ ทัชมาฮาล เลยนะครับ

ข้อมูลทั่วไปที่นายบรรณารักษ์ไปสังเกต
– หนังสือภายในห้องสมุดแห่งนี้เป็นภาษาอังกฤษเกือบทั้งหมดครับ
– การจัดหนังสือใช้การจัดหมวดหมู่แบบดิวอี้
– มีตู้บัตรรายการใช้อยู่ด้วย
– อยู่ในระหว่างการปรับปรุงห้องนิทรรศการ และห้องสมุดบางส่วน
– ตู้หนังสือทุกตู้มีกระจกปิดเพื่อไม่ให้ฝุ่นเข้า และรักาาความชื้นในห้องสมุดด้วยระบบการระบายอากาศที่ดี
– กิจกรรมสำหรับเด็กจะจัดทุกเสาร์ โดยมีอาสาสมัครมาช่วยจัด
– ค่าเข้าใช้บริการ ครั้งละ 50 บาท (เพื่อเป็นทุนในการพัฒนาห้องสมุด)

อัตราค่าสมาชิกของห้องสมุดแห่งนี้
– ประเภทครอบครัว 3300 บาทต่อปี
– ประเภทบุคคลทั่วไป (อายุ 22 ปีขึ้นไป) 2500 บาทต่อปี
– ประเภทผู้สูงอายุ (อายุ 65 ปีขึ้นไป) 1500 บาทต่อปี
– ประเภทเด็ก (อายุ 12 ปีขึ้นไป) 1700 บาทต่อปี

เอาเป็นว่าถ้าเพื่อนๆ ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมก็สามารถเข้าไปดูที่เว็บไซต์ของห้องสมุดเนลสันเฮย์ (Neilson Hays Library)
ได้ที่ http://www.neilsonhayslibrary.com

หรือถ้าอยากไปชมสถานที่จริงก็สามารถเดินทางไปได้อยู่แถวๆ ถนนสุรวงศ์ หรือสอบถามทางได้ที่เบอร์ 0-2233-1731 นะครับ

ชมภาพการไปศึกษาดูงานที่ห้องสมุดเนลสันเฮย์ (Neilson Hays Library) ทั้งหมด

[nggallery id=46]

โรคทางมือที่อาจเกิดกับบรรณารักษ์ (Hand : Medical Librarian)

หัวข้อที่แปดแล้วนะครับมาอ่านสรุปงานอบรมเชิงปฏิบัติการ “การเพิ่มมูลค่าบรรณารักษ์การแพทย์” กันต่อเลย
หัวข้อ คือ โรคทางมือที่อาจเกิดกับบรรณารักษ์ (Hand : Medical Librarian)
วิทยาการโดย นายแพทย์สมศักดิ์ ลีเชวงวงศ์ กลุ่มงานออร์โธปิดิกส์ โรงพยาบาลเลิศสิน

หัวข้อนี้ถือว่าเป็นการเติมความรู้ในเรื่องของสุขภาพและการดูแลสุขภาพในวิชาชีพบรรณารักษ์
อาชีพของบรรณารักษ์เรามีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคที่เกี่ยวกับกระดูและข้ออย่างไร
ผมยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น การยกของหนักก็ทำให้มีโอกาสที่จะบาดเจ็บข้อหรือกล้ามเนื้อเช่นกัน

โดยวันนี้ท่านวิทยากรขอแนะนำโรคทางมือที่อาจเกิดกับบรรณารักษ์

โรคที่จะกล่าวดังต่อไปนี้ไม่ได้เกิดจากการยกของหนัก แต่การยกของหนักทำให้มีโอกาสเป็นได้ง่ายขึ้นก็เท่านั้นเอง

โรคนิ้วสะดุด

ข้อมูลทั่วไป

– ผู้หญิงเป็นมากกว่าผู้ชาย
– พบในวัยกลางคน
– เกิดอาการที่นิ้วแม่มือ, นิ้วนาง, นิ้วกลาง

การรักษา

-พักการใช้งานชั่วคราว
– ใส่เครื่องดามมือ
– ทานยาแก้อักเสบ
– ฉีดยาแก้อักเสบ (ฉีดสารสเตอรอยด์)
– ผ่าตัด

โรคอักเสบบริเวณข้อมือ

ข้อมูลทั่วไป

– ผู้หญิงเป็นมากกว่าผู้ชาย
– พบในวัยกลางคน

การรักษา

– พักการใช้งานชั่วคราว
– ใส่เครื่องดามมือ
– ทานยาแก้อักเสบ
– ฉีดยาแก้อักเสบ (ฉีดสารสเตอรอยด์)
– ผ่าตัด

โรคเส้นประสาทถูกกดทับ บริเวณข้อมือ

ข้อมูลทั่วไป

– ผู้หญิงเป็นมากกว่าผู้ชาย
– คนท้องหรือตั้งครรภ์เกิดบ่อยมาก
– เกิดอาการชาเป็นพักๆ ถ้าหนักๆ จะเกิดอาการชาแล้วไม่หาย

การรักษา

– การรักษาจากต้นทาง (สาเหตุ) เช่น ปรับปรุงวิธีทำงาน การปรับการนั่งทำงาน การวางมือบนแป้นคีย์บอร์ด
– ดามข้อมือ
– ทานยา ยาแก้อักเสบ วตามิน B6
– ผ่าตัด

โรคข้อเสื่อมทางมือ

ข้อมูลทั่วไป

– ผู้หญิงเป็นมากกว่าผู้ชาย
– พบในวัยกลางคน
– ข้อนิ้วยึดติดในตอนเช้า
– ลักษณะนิ้วเก

การรักษาขั้นต้น

– แช่น้ำอุ่นๆ ช่วงเช้า 3-5 นาที

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคต่างๆ มาจาก
– กรรมพันธุ์
– อายุ, เพศ, น้ำหนักตัว, ภาวะประจำเดือน
– การทำงาน

เอาเป็นว่ายังไงซะก็รักษาสุขภาพกันด้วยนะครับ

ผู้ใช้บริการขอบอก : ห้องสมุดการแพทย์ที่ถูกใจผู้ใช้บริการ

สรุปหัวข้อที่เจ็ดของงานอบรมเชิงปฏิบัติการ “การเพิ่มมูลค่าบรรณารักษ์การแพทย์”
หัวข้อ คือ ห้องสมุดการแพทย์ที่ถูกใจผู้ใช้บริการ (Use the Medical Library ? : Resident)
วิทยาการโดย นายแพทย์ภัทรกานต์ สุวรรณทศ นักศึกษาแพทย์ประจำบ้าน โรงพยาบาลเลิศสิน

หัวข้อนี้เป็นหัวข้อที่ผมรู้สึกว่าฟังสบายที่สุดแล้วสำหรับการฟังสัมมนาวันนี้
เพราะเป็นการถ่ายทอดประสบการณ์ในการใช้ห้องสมุดการแพทย์ในมุมมองของผู้ใช้บริการ
อย่างที่บอกอ่ะครับว่าฟังง่าย แต่หัวข้อนับว่าเป็นประโยชน์เลยทีเดียว

วิทยากรได้นำภาพบรรยากาศในห้องสมุดการแพทย์มาให้พวกเราดู โดยเน้นที่รูปหนังสือเล่มใหญ่ๆ (หนังสือด้านการแพทย์ส่วนใหญ่เล่มใหญ่ หนา และหนัก) ทำให้ผู้ใช้บริการหลายคนไม่นิยมที่จะยืมหนังสือเหล่านี้ออกจากห้องสมุด ปัจจุบันนักศึกษาแพทย์หลายคนนิยมใช้ Ipad บ้าง Ebook reader บ้าง เพื่อที่จะใช้อ่าน E-book วิทยากรได้โชว์ว่าในเครื่องคอมตัวเองก็เก็บหนังสือ e-book มากมาย ราวๆ 400 กว่าเล่ม นี่ก็เป็นส่วนนึงที่อยากแสดงให้เห็นว่า “ใครจะไปแบกหนังสือในห้องสมุดบ้าง”

แล้วตกลง “มีห้องสมุดการแพทย์ไว้ทำไม” วิทยากรได้แบ่งการใช้งานห้องสมุดการแพทย์ออกมาเป็น 2 ส่วน คือ
– ใช้ในแง่แหล่งข้อมูล เช่น หนังสือ วารสาร ฐานข้อมูล e-book ฯลฯ
– ใช้ในแง่ส่วนตัว เช่น พักผ่อน นัดพบ หาความรู้เพิ่มเติม

ห้องสมุดการแพทย์ในฝันตามสไตล์นักศึกษาแพทย์

1 การเป็นแหล่งข้อมูล (อันนี้เน้นการให้บริการทางเว็บไซต์ หรือ การสร้างชุมชนการเรียนรู้) โดยห้องสมุดจะต้องมีฟีเจอร์เพิ่มเติม คือ

1.1 ระบบการค้นหาที่ใช้ง่าย และค้นหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1.2 ระบบการสะสมองค์ความรู้ จัดเก็บข้อมูลได้เป็นระบบ
1.3 ระบบการสร้าง สามารถสร้างองค์ความรู้ หรือ มีพื้นที่ในการเขียนเรื่องต่างๆ ในเว็บห้องสมุด
1.4 ระบบการเผยแพร่ ถ่ายทอดและส่งต่อองค์ความรู้เพื่อให้ผู้อื่นได้อ่านและแสดงความคิดเห็นได้

2 สื่อการเรียนการสอนแบบใหม่ๆ เช่น

2.1 ไฟล์วีดีโอทางด้านการแพทย์ เช่น การผ่าตัด การรักษาเฉพาะที่ ฯลฯ
2.2 ไฟล์ภาพทางด้านการแพทย์ เช่น ภาพการวินิจฉัยโรคต่างๆ ฯลฯ
2.3 ไฟล์ฟิล์มภาพ X-ray เช่นภาพกระดูดหัก กระดูแตก กระดูกคต ฯลฯ

3 บรรยากาศภายในห้องสมุด

3.1 สถานที่เอื้ออำนวยให้เกิดการเรียนรู้ ส่งเสริมการเรียนรู้
3.2 สถานที่เงียบสงบ

4 ส่วนสนับสนุน

4.1 หนังสือพิมพ์
4.2 วารสาร
4.3 อินเทอร์เน็ตไร้สาย

5 อื่นๆ

5.1 ห้องน้ำ
5.2 ห้องอาหาร

นี่ก็เป็นเพียงความเห็นส่วนหนึ่งจากผู้ใช้บริการ หากเราสามารถทำตามความต้องการของผู้ใช้บริการได้ ห้องสมุดก็ยังคงมีความสำคัญอยู่ตลอดไป นั่นแหละครับ

การจัดการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศในห้องสมุดการแพทย์

สรุปมาจนถึงหัวข้อที่หกแล้วนะครับสำหรับงานอบรมเชิงปฏิบัติการ “การเพิ่มมูลค่าบรรณารักษ์การแพทย์”
หัวข้อ คือ IT Management in Medical Library (การจัดการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศในห้องสมุดการแพทย์)
วิทยากรโดย นายแพทย์ธีรชัย ยงชัยตระกูล หัวหน้ากลุ่มงานเทคโนโลยีสารสนเทศ โรงพยาบาลเลิศลิน กรมการแพทย์

หัวข้อนี้จริงๆ แล้วมีเนื้อหาคล้ายๆ ของผมเลย แต่มีเนื้อหาต่างกันอยู่บ้างแหละ
ซึ่งโดยหลักๆ ท่านวิทยากรได้เล่าภาพห้องสมุดออกมาเป็น 3 มุมมองใหญ่ๆ คือ อดีต ปัจจุบัน อนาคต

หัวข้อที่บรรยายเป็นการจุดประเด็นให้คิดและวิเคราะห์ตาม
เพื่อทำให้เรา รู้จักอดีต / เข้าใจปัจจุบัน / คาดเดาอนาคต ของวงการห้องสมุดและบรรณารักษ์

ห้องสมุดสมัยโบราณ (Ancient Ages)
ห้องสมุดในอดีตคงต้องมองย้อนไปตั้งแต่เกิดห้องสมุดแห่งแรกของโลกบริเวณที่เกิดอารายธรรมเมโสโปเตเมียเลย (เมื่อ 4000 ปีก่อน) ในยุคนั้นมีการแกะสลักตัวอักษรลงในแท่นดินเหนียว ถัดมาจนถึงยุคของอียิปต์โบราณที่ใช้กระดาษปาปิรุสบันทึกข้อมูล ไล่มาเรื่อยๆ จนถึง Royal Library at Dresden ที่บันทึกข้อมูลด้วยหนังสัตว์ และมีการนำหนังสัตว์มาเย็บรวมกันที่เรียกว่า Codex เป็นครั้งแรก

ภาพ Codex จาก http://extraordinaryintelligence.com

ห้องสมุดในยุคกลาง
ในยุคนี้จะพูดถึงเรื่องทวีปยุโรปได้มีการจัดสร้างห้องคัดลอกหนังสือ (Scriptorium) ไล่ไปจนถึงจีนที่เริ่มมีการทำกระดาษครั้งแรกของโลก และการกำเนิดเครื่องพิมพ์เครื่องแรกของโลก โดย johannes gutenberg

ห้องคัดลอกหนังสือ จาก http://joukekleerebezem.com

ห้องสมุดในยุคใหม่
อันนี้เริ่มใกล้ตัวเราขึ้นมาหน่อย โดยนับเริ่มตั้งแต่การเกิด Library of congress ถัดมาก็เรื่องของการจัดหมวดหมู่หนังสือต่างๆ เช่น Dewey, UDC ไปจนถึงการเกิดโรงเรียนบรรณารักษ์ และการจัดตั้งกลุ่มความร่วมมือด้านบรรณารักษ์ระหว่างประเทศ…

คำอธิบาย หรือ ที่มาของคำว่า Librarian มีที่มาอย่างไร
Liber (Latin) = เปลือกด้านในของต้นไม้
Libraria (Latin) = ร้านหนังสือ
Librarie (anglo french)
Librarie (old-french) = cellection of books
Librarian = บรรณารักษ์
สมัยก่อนใช้คำว่า library-keeper

การจัดการสื่อในห้องสมุดจะเปลี่ยนไปแค่ไหน
– จากหนังสือ จะกลายเป็น Digital File
– จากชั้นหนังสือ จะกลายเป็น Storage Server

การจัดการด้านเครือข่ายในห้องสมุด
– การเข้าถึงข้อมูล จากต้องเข้ามาที่ห้องสมุด จะกลายเป็น เข้าที่ไหนก็ได้
– การเข้ารับบริการ จากต้องเข้าใช้ตามเวลาที่ห้องสมุดเปิด จะกลายเป็น เข้าได้ 24 ชั่วโมง

ท่านวิทยากรได้ยกตัวอย่างมาตรฐานของสมาคมห้องสมุด พ.ศ. 2552 โดยหมวดที่เกี่ยวข้องกับการจัดการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศจะถูกแทรกอยู่ในหมวด 5, 7, 8

หลังจากที่พูดถึงภาพอดีตแบบกว้างๆ ไปแล้ว ทีนี้มาดูปัจจุบันกันบ้างดีกว่า

งานที่เกี่ยวกับสื่อในห้องสมุด และการบริการในห้องสมุด งานไอทีที่จำเป็นในงานดังกล่าวจะประกอบด้วย
– Server = ดูเรื่องของการจัดการ, ความปลอดภัย, ฐานข้อมูล
– Client = เครื่องของผู้เข้ารับบริการจะต้องเข้าใช้งานได้ ตรวจสอบผู้ใช้ได้
– Network = มีให้เลือกทั้งแบบมีสายและไร้สาย (ปัจจุบันรพ.เลิศสิน เช่น leased line)
– Content = content ทั้งหมดสามารถเข้าผ่าน intranet ได้
– Software


ตัวอย่างระบบห้องสมุดในอนาคตที่คาดว่าจะเป็น :-
*** อันนี้น่าสนใจมากครับ
– Berkeley (1996 โมเดลเก่าของเขา แต่ใหม่ของเรา)
– Harvard University “Library digital Initiative”
– Stanford University “Digital Repository”

ภาพโมเดล Stanford University "Digital Repository"

“IT จะรับหน้าที่เป็นแหล่งข้อมูลแทนห้องสมุด หนังสือจะเปลี่ยนเป็น สื่อที่ใช้เก็บเพื่ออ้างอิงและสะสม”
ห้องสมุดจะเปลี่ยนเป็นศูนย์การเรียนรู้ และ บรรณารักษ์จะเปลี่ยนเป็นนักสารสนเทศ

บรรณารักษ์การแพทย์กับเครือข่ายสังคมออนไลน์

ถึงคิวที่ผมจะต้องสรุปการบรรยายในส่วนของผมเองในงานอบรมเชิงปฏิบัติการ “การเพิ่มมูลค่าบรรณารักษ์การแพทย์”
ภายใต้หัวข้อย่อย คือ E-Medical Librarian and Social Network
วิทยากร คือ ผมเองครับ (นายเมฆินทร์ ลิขิตบุญฤทธิ์) นักพัฒนาระบบห้องสมุด โครงการศูนย์ความรู้กินได้


สำหรับหัวข้อที่ผมบรรยายก็มีสไลด์ประกอบ ซึ่งเพื่อนๆ ดูได้จากด้านล่างนี้เลยครับ

(บรรยายเรื่องเครื่องมือออนไลน์ ก็เลยขอนำมาเสนอเป็นตัวอย่าง อิอิ)

จริงๆ เรื่องที่ผมบรรยายให้ที่นี่ เป็นหัวข้อที่ผมบรรยายให้ห้องสมุดอื่นๆ ฟังบ่อยมาก
แต่ที่ไม่เหมือนที่อื่น คือ ปกติผมจะใช้เวลาบรรยายเรื่องนี้ 6 ชั่วโมง แต่สำหรับที่นี่ผมย่อเหลือ 1 ชั่วโมง
(เนื้อหาที่ผมเคยบรรยาย 6 ชั่วโมง ลองอ่านเรื่องเก่าดูที่ “สรุปการอบรมพัฒนาศักยภาพบรรณารักษ์สู่ e-Librarians“)

เริ่มจากการพูดถึงคำว่า Cybrarian ว่ามีที่มาจากคำว่า Cyber + Librarian
นั่นก็หมายถึงบรรณารักษ์ในยุคไซเบอร์ หรือ ผมจะขอแทนว่าเป็น บรรณารักษ์ยุคใหม่แล้วกัน
โดยแน่นอนสิ่งที่บรรณารักษ์ยุคใหม่ต้องมีนอกจากความรู้ในด้านวิชาชีพของห้องสมุดแล้ว
ยังต้องมีความรู้รอบด้าน และติดตามข่าวสารใหม่ๆ ตลอดเวลา โดยเฉพาะไอที

“ทำไมบรรณารักษ์ต้องรู้เรื่องไอที” ประเด็นอยู่ที่ว่างานในห้องสมุดปัจจุบันเกือบทุกส่วนต้องพึ่งพาไอทีหรือคอมพิวเตอร์ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นงานบริการ งานบริหาร งานจัดทำรายการ ฯลฯ

“ไอทีสำหรับบรรณารักษ์” คงไม่ต้องถึงขั้นว่า เขียนโปรแกรม หรือ พัฒนาโปรแกรม เหมือนพวกโปรแกรมเมอร์หรอกนะครับ
แต่ผมแค่ต้องการให้เรารู้จักโปรแกรม เข้าใจโปรแกรม และนำโปรแกรมไปใช้งานให้ถูกต้องก็เท่านั้นเอง

ทักษะและความรู้ด้านไอทีที่บรรณารักษ์ควรรู้ มี 8 ด้าน ได้แก่
1. ความรู้และทักษะในกลุ่มโปรแกรมสำนักงาน
2. ความรู้และทักษะในกลุ่มโปรแกรมสำหรับสื่อ
3. ความรู้และทักษะด้านการใช้งานระบบเครือข่าย
4. ความรู้และทักษะในกลุ่มพื้นฐานคอมพิวเตอร์
5. ความรู้และทักษะที่เกี่ยวกับอุปกรณ์อื่นๆ
6. ความรู้และทักษะในกลุ่มการใช้งานอินเทอร์เน็ต
7. ความรู้และทักษะการใช้งานระบบห้องสมุด
8. ความรู้และทักษะการใช้งานเว็บไซต์ 2.0

เครื่องมือออนไลน์ที่สามารถนำมาใช้พัฒนาห้องสมุด (แบบฟรีๆ) มีดังนี้
– Blog
– E-mail
– MSN
– Twitter
– Facebook
– Youtube
– Flickr
– Slideshare (ตัวอย่างการใช้ดูจากไฟล์สไลด์ที่ผมบรรยายไว้ด้านบนเลยครับ)

ก่อนที่ผมจะมาบรรยายให้ที่นี่ฟัง ผมได้ศึกษาเว็บไซต์ของห้องสมุดการแพทย์หลายที่ และพบจุดที่ต้องปรับปรุงหลักๆ คือ กระดานถามตอบ (forum) ซึ่งปัจจุบันได้กล่าวเป็นที่อยู่ของพวกสแปมโฆษณาไปหมดแล้ว ผู้ดูแลต้องรีบดำเนินการปรับปรุงโดยด่วน และอีกจุดหนึ่งที่หลายๆ แห่งเป็น คือ การไม่อัพเดทเว็บไซต์มาเป็นปีๆ ซึ่งทำให้ผู้ใช้บริการเข้ามาเจอแต่ข้อมูลเก่าๆ

ทางออกของสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ผมขอแนะนำให้ลองนำบล็อกมาใช้แทนเว็บไซต์ห้องสมุด เนื่องจากอัพเดทง่าย ไม่ต้องมีความรู้เรื่องโปรแกรมก็สามารถอัพเดทเว็บไซต์ของห้องสมุดได้แล้ว

ปัจจุบันบล็อกถูกนำมาใช้หลากหลายอย่างไม่ว่าจะเป็น :-
1. การสร้างบล็อกขององค์กร
2. การสร้างบล็อกเพื่อกระจายข่าวสาร
3. การสร้างบล็อกเพื่อสร้างเครือข่าย
4. การสร้างบล็อกเพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้

บล็อกฟรีที่ผมแนะนำให้ใช้ คือ www.wordpress.com เพราะว่ามีลูกเล่นเยอะแถมคนเจอใน google ได้ง่ายอีกด้วย

ตัวอย่างบล็อกที่ผมแนะนำคือ บล็อกเครือข่ายห้องสมุดและบรรณารักษ์ไทย http://www.libraryhub.in.th

เรื่องของบล็อกห้องสมุดหลายๆ แห่งชอบถามว่าเขียนเรื่องอะไรได้บ้าง ผมเลยทำตัวอย่างหัวข้อมาให้ดู ยังไงก็ลองเอาไปประยุกต์กันดูนะครับ
– รายชื่อหนังสือยอดนิยมในห้องสมุด ประจำเดือน….
– กิจกรรมในห้องสมุด ประจำเดือน….
– ประมวลภาพกิจกรรมวันเด็ก ณ ห้องสมุด
– แนวทางในการคัดเลือกหนังสือเข้าห้องสมุด
– แนวทางในการคัดเลือกหนังสือเข้าห้องสมุด
– ขอคำแนะนำ เรื่องหนังสือนิทานในห้องสมุดหลายเล่มถูกเด็กฉีก
– รวมภาพผลงานของเด็กๆ ที่เข้ามาวาดภาพ ระบายสีในห้องสมุด


เครื่องมือออนไลน์อีกตัวที่ไม่พูดไม่ได้แล้ว คือ Facebook

ห้องสมุดหลายๆ แห่งมี facebook แต่ไม่รู้ว่าจะใช้ทำอะไร โพสแบบไหน
ดังนั้นผมจึงนำตัวอย่างการใช้งาน facebook มาให้ดู เช่น
– แนะนำหนังสือที่น่าสนใจในห้องสมุด
– ตอบคำถามและรับฟังความคิดเห็น
– ทักทายพูดคุยแบบเป็นกันเองกับผู้ใช้บริการออนไลน์
– โปรโมทบล็อกหรือเว็บไซต์ของห้องสมุด
– เชิญเพื่อนๆ เข้าร่วมกิจกรรม และประชาสัมพันธ์กิจกรรมห้องสมุด
– ให้บริการออนไลน์
– โพสรูปกิจกรรมต่างๆ ในห้องสมุด

นอกจากนี้ยังได้แนะนำเรื่องการดูสถิติการเข้า facebook ของผู้ใช้บริการ หรือ สมาชิกได้
โดยการตั้ง page ของห้องสมุดแล้วดูที่ “ดูอย่างละเอียด” จะพบข้อมูลการเข้าใช้ของสมาชิกดังรูป

รณีศึกษาการใช้ facebook ที่น่าสนใจดูได้ที่
http://www.facebook.com/thlibrary (กลุ่มเครือข่ายห้องสมุดและบรรณารักษ์ไทย)
http://www.facebook.com/groups/133106983412927/ (กลุ่ม Librarian in Thailand)
http://www.facebook.com/groups/183430135056067/ (ชมรมบรรณารักษ์การแพทย์)

จบจากเรื่อง facebook ก็ต่อในเรื่องที่ใกล้ๆ กัน คือ Twitter
ห้องสมุดหลายๆ แห่งไม่รู้จัด twitter ซึ่งผมก็อธิบายแบบง่ายๆ ว่า
Twitter เป็นการโพสประกาศแบบสั้นๆ 140 ตัวอักษร ให้คนที่เป็นเพื่อนเรารู้ว่าเรากำลังทำอะไร
การใช้งาน twitter ที่ผมขอแนะนำ คือ การนำมาใช้ในการถ่ายทอดสดการสัมมนา หรือ การจัดกิจกรรมในห้องสมุด

ปิดท้ายด้วยการนำเสนอการใช้ไอทีแบบง่ายๆ สร้างงานแบบสร้างสรรค์
(นำเสนอตัวอย่าง infographic ของห้องสมุดประชาชนจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งใช้แค่โปรแกรม powerpoint เท่านั้น)
ลองอ่านเพิ่มเติมและชมภาพ infographic ได้ที่ [InfoGraphic] 1 ปี ห้องสมุดประชาชนจังหวัดอุบลราชธานีกับข้อมูลที่น่าสนใจ

ก่อนจบผมได้แนะนำให้เพื่อนๆ ตามอ่านเรื่องราวห้องสมุด บรรณารักษ์ และหนังสือจากบล็อกต่างๆ ด้วย
ถ้าไม่รู้จะเริ่มจากไหนให้เข้าไปที่ http://blogsearch.google.co.th
แล้วค้นคำว่า ห้องสมุด บรรณารักษ์ หนังสือ จะทำให้เจอเรื่องที่น่าอ่านมากมาย

ทิ้งท้ายไว้สักนิดให้คิดแล้วกันครับว่า “เปิดใจ และตามมันให้ทัน เรื่องไอทีไม่ยากเหมือนที่คิด”

บรรณารักษ์การแพทย์กับการสนับสนุนงานวิจัย

หัวข้อที่สี่ที่ผมจะสรุปจากงานอบรมเชิงปฏิบัติการ “การเพิ่มมูลค่าบรรณารักษ์การแพทย์”
คือ บรรณารักษ์การแพทย์กับการสนับสนุนงานวิจัย
วิทยากรโดย นายแพทย์วุฒิชัย จตุทอง หัวหน้ากลุ่มงานสนับสนุนวิชาการ โรงพยาบาลเลิศสิน กรมการแพทย์

หัวข้อนี้ผมได้อยู่ฟังนิดเดียวเอง เนื่องจากถูกเรียกไปคุยเรื่องการจัดตั้งชมรมบรรณารักษ์การแพทย์
ผมจึงขออนุญาติสรุปจากสไลด์ของท่านวิทยากรแล้วกันนะครับ ซึ่งก็อ่านแล้วพอได้สาระอยู่บ้าง

บรรณารักษ์เกี่ยวข้องอย่างไรกับการสนับสนุนการวิจัย เกี่ยวเพราะว่าเป็นตัวการในการค้นหาข้อมูลให้กับผู้ใช้บริการ (คล้ายที่อาจารย์ทวีทองบอกครับ) เมื่อนายแพทย์จะทำงานวิจัยสักชิ้นก็จะมาหาข้อมูลที่ห้องสมุด บรรณารักษ์ก็จะช่วยค้นหาข้อมูลต่างๆ ให้ ถือว่าเป็นการสนับสนุนงานวิจัยได้แล้ว

ในโลกปัจจุบันที่มีสภาวะการแข่งขันสูง ท่านวิทยากรจึงนำรูปภาพมาเปรียบเทียบว่าถ้าเราอยากอยู่รอดในทะเล เราต้องเป็นฉลาม หรือไม่ก็เหาฉลาม ถึงจะอยู่รอดได้ เพราะถ้าเป็นปลาชนิดอื่นก็คงเป็นเหยื่อของปลาฉลามอยู่ดี

นักวิจัยต้องการอะไรจากห้องสมุด (บรรณารักษ์)
– หัวข้องานวิจัย / โจทย์งานวิจัย
– Review Literature
– การอภิปรายย่อยเป็นกลุ่มๆ
– ฐานข้อมูลสืบค้นออนไลน์
– ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับงานวิจัย (สำหรับผู้เริ่มต้นทำงานวิจัย)

นักวิจัยคิดอย่างไรกับห้องสมุด
– ห้องสมุดมีความสำคัญ และจะให้ประโยชน์กับนักวิจัยอย่างไร
– ห้องสมุดของหน่วยงานตัวเองดีกว่าห้องสมุดของหน่วยงานอื่นหรือไม่ อย่างไร
– ห้องสมุดมีเครือข่ายหรือไม่
– ห้องสมุดมีฐานข้อมูลอะไรบ้าง

แหล่งข้อมูลสำหรับงานวิจัยในห้องสมุด แบ่งออกเป็น

1. ข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต : แหล่งข้อมูลอินเทอร์เน็ตที่น่าสนใจ เช่น

http://www.google.com
http://www.webmedlit.com
http://www.medmatrix.org
http://www.tripdatabase.com

2. เอกสารที่ไม่ได้มีการตีพิมพ์โดยทั่วไป

– Grey Literature Report
– Netprints
– SIGLE
– CPG

3. ฐานข้อมูลการแพทย์ออนไลน์ ที่ควรรู้จัก เช่น

– Medline
– EMBASE
– CINAHL
– PsychInfo
– ERIC

การศึกษารูปแบบการวิจัยแบบ Systematic Review สามารถดูข้อมูลได้จาก
http://www.cochrane.org
http://www.york.ac.uk/inst/crd/welcome.htm
http://hstat.nlm.nih.gov
http://www.acpjc.org
http://www.clinicalevidence.com
http://www.uptodate.com

รูปแบบของการสืบค้นในฐานข้อมูลก็มีอยู่หลายแบบ เช่น การสืบค้นด้วยคำสำคัญ, การสืบค้นตามเงื่อนไข, การสืบค้นแบบไล่เรียง ฯลฯ
สิ่งที่ต้องคำนึงถึในการค้นหา คือ เรื่องการตัดคำ หรือการใช้ธีซอรัส (ความสัมพันธ์ของคำสืบค้น)…..

การวิจัยกับบทบาทที่เปลี่ยนไปของบรรณารักษ์ยุคดิจิทัล
ในอดีตเราอาจจะถูกมองว่าเป็นผู้อนุรักษ์หรือผู้เก็บหนังสือ แต่ด้วยบทบาทในสังคมสมัยใหม่ทำให้เราได้เปลี่ยนบทบาทตัวเองมาเป็นผู้จัดการสารสนเทศ และทิศทางในอนาคตเราจะกลายเป็นผู้เอื้ออำนวยความรู้ (ผู้ชี้นำความรู้)

บรรณารักษ์จะสนับสนุนการทำวิจัยได้อย่างไร
– จัดหางานวิจัย และให้คำปรึกษาในการใช้งานวิจัย
– วิเคราะห์และจัดหมวดหมู่งานวิจัย
– พัฒนาฐานข้อมูลงานวิจัย
– พัฒนาเครื่องมือเพื่อเข้าถึงงานวิจัย
– เผยแพร่งานวิจัย

ตัวอย่างกรณีศึกษาบรรณารักษ์กับการสนับสนุนงานวิจัย : บรรณารักษ์พบนักวิจัย สำนักหอสมุดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
– ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการหาแหล่งข้อมูลเพื่อการวิจัย
– ให้คำแนะนำบริการ และการเข้าถึงฐานข้อมูลออนไลน์
– แนะนำฐานข้อมูลที่ใช้เป็นแหล่งตรวจสอบการอ้างอิงผลงานทางวิชาการ (Citation analysis)
– จัดโปรแกรมฝึกอบรมเรียนรู้การใช้สารนิเทศเพื่อสนับสนุนการเรียนการสอนและการค้นคว้าข้อมูล
– ประสานความต้องการระหว่างนักวิจัยกับสำนักหอสมุด

เป็นยังไงกันบ้างครับบทบาทของบรรณารักษ์การแพทย์กับการสนับสนุนการวิจัย
บทบาทนี้ผมว่าสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับเหล่าบรรณารักษ์ในสถาบันอุดมศึกษาได้อย่างดีที่เดียว
ยังไงก็ลองทำความเข้าใจและเอาไปประยุกต์ใช้กันดูนะครับ