เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ผมโพสรูปหนังสือเล่มหนึ่งที่ผมอยากอ่าน ชื่อเรื่องว่า “Managing the One-Person Library” ซึ่งมีเพื่อนๆ สอบถามและอยากให้ผมช่วย Review หนังสือเล่มนี้ วันนี้สะดวกแล้วครับ มาอ่านรีวิวจากผมกันได้เลย
ข้อมูลทั่วไปของหนังสือเล่มนี้
ชื่อเรื่อง : Managing the One-Person Library
ผู้แต่ง : Larry Cooperman
ISBN : 9781843346715
ปีพิมพ์ : 2015
จำนวนหน้า : 88 หน้า
ทำไมผมถึงรู้สึกชอบและอยากรีวิวหนังสือเล่มนี้ : ส่วนหนึ่งเพราะบรรณารักษ์ในห้องสมุดบ้านเรา (ประเทศไทย) ส่วนใหญ่ (ห้องสมุดโรงเรียน) จะมีบรรณารักษ์ / ครูบรรณารักษ์เพียงหนึ่งคนที่เป็นผู้ดูแลห้องสมุดเป็นหลัก ซึ่งก็ตรงกับคำว่า One-Person Library หรือในหนังสือเล่มนี้จะใช้คำว่า “SOLO Librarian”
นิยามสั้นๆ ของคำว่า “One-Person Library” คือ one in which all the work is done by the [single] librarian ซึ่งถูกกล่าวถึงตั้งแต่ปี 1976 โดย Guy St. Clair อ่านต่อในวิกิพีเดีย https://en.wikipedia.org/wiki/One-person_library
หนังสือเล่มนี้แบ่งเนื้อหาออกเป็น 8 บท ดังนี้
- Who is a one-person, or solo librarian? And how do they manage to do what they do?
- Marketing your library
- Professional development
- Collection development
- IT resources, troubleshooting, internet security, and library security
- Cataloging and Serials management
- Staffing the one-person library
- Final thoughts on solo librarianship and the future of solo librarians
ผมขอสรุปแต่ละบทแบบสั้นๆ ดังนี้
บทที่ 1 จะเป็นการอธิบายนิยามของคำว่า “One-Person Library” ซึ่งหมายถึง ห้องสมุดที่มีบรรณารักษ์ที่จบและมีความรู้ด้านบรรณารักษ์เพียงคนเดียว ซึ่งบรรณารักษ์คนนี้มีเรื่องที่ต้องจัดการเยอะมาก เช่น การบริหารจัดการเวลา การวางกลยุทธ์ขององค์กร การบริหารความเปลี่ยนแปลง การบริหารและจัดการความเครียด การบริหารจัดการคน ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นเพียงการจัดการทั่วๆ ไป (ทุกอาชีพก็ต้องทำ) ยังไม่ได้ลงถึงเรื่องการจัดการความรู้ด้านวิชาชีพเลย อ่านบทสรุปของผมอาจจะเข้าใจยาก ในหนังสือจะยกตัวอย่างและอธิบายวิธีการพอสังเขป เช่น การบริหารและจัดการความเครียด นำเสนอวิธีการง่ายๆ 3 ข้อ คือ 1. หาเวลาพักในระหว่างทำงานบ้าง 2. กำหนดเวลาในการทำงานและพักให้ชัดเจน 3. พัฒนาวิชาชีพบ้าง (อยู่ในบทที่ 3)
บทที่ 2 การตลาดในห้องสมุด ให้เราพยายามดึงจุดเด่นของวิชาชีพมานำเสนอให้มากขึ้น เช่น บรรณารักษ์แนะนำให้อ่าน (อย่าพยายามทำการตลาดแบบนักการตลาดเพราะเราไม่ได้เกิดมาเป็นนักการตลาด แต่เราเกิดมาเป็นบรรณารักษ์) ช่องทางในการประชาสัมพันธ์แบบง่ายๆ เช่น ภายในพื้นที่, สื่อสังคมออนไลน์, บอร์ดนิทรรศการ, กลุ่มชุมชนใกล้เคียงห้องสมุด ฯลฯ
บทที่ 3 การพัฒนาวิชาชีพ (พัฒนาตัวเองด้านวิชาชีพ) เช่น เข้าร่วมงานประชุมวิชาการ สัมมนา เข้าร่วมเครือข่าย ฟังสัมมนาออนไลน์ (webinars) เข้าร่วมกลุ่มวิชาชีพในสังคมออนไลน์ ฝึกเขียน ฝึกสอน สุดท้ายเมื่อได้เรียนรู้อะไรมาลองฝึกปฏิบัติจะทำให้เราเก่งขึ้น
บทที่ 4 งานพัฒนาทรัพยากร งานนี้จริงๆ แล้วถ้าเรากำหนดนโยบายในงานพัฒนาทรัพยากรที่ชัดเจน จะทำให้เราทำงานง่ายขึ้น เช่น ขอบเขตของเนื้อหาหนังสือที่ห้องสมุดควรมี (ใช้เพื่อพิจารณาจัดซื้อจัดหาหนังสือเข้าห้องสมุด) นโยบายในการคัดออก กำหนดระยะเวลาในการดำเนินงานให้ชัด กำหนดประเภททรัพยากรที่ควรมีในห้องสมุด แนวทางในการประเมินทรัพยากร (ดูจากยอดการยืม, ดูจากอายุทรัพยากร, ภาพรวมของจำนวนหนังสือบมชั้น, คำแนะนำจากผู้ใช้)
บทที่ 5 งานด้านไอที จริงอยู่ที่เราไม่ใช่โปรแกรมเมอร์ เราเป็นเพียงบรรณารักษ์ แต่ในยุคนี้เรานำไอทีมาใช้ในห้องสมุดมากมาย ดังนั้นการแก้ไขปัญหาเบื้องต้น เราควรทำได้ระดับหนึ่ง เช่น เวลาเครื่องคอมพิวเตอร์มีปัญหาเราสามารถปิดและลองเปิดใหม่ หรือสังเกตอาการของเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ การแก้ไขปัญหาอินเทอร์เน็ตเบื้องต้น ฯลฯ ข้อดีของการนำไอทีมาช่วยในการทำงานคือลดงานบางอย่างได้ เช่น การจองห้องประชุม การนัดหมายผ่านอีเมล์ ฯลฯ
บทที่ 6 งานวิเคราะห์ข้อมูลทรัพยากรและสิ่งพิมพ์ต่อเนื่อง เอาง่ายๆ เลยเราต้องรู้จักมาตรฐานงาน catalog ก่อน เช่น ห้องสมุดเราใช้การจัดหมวดหมู่แบบไหน มาตรฐานการลงรายการตาม AACR2 หรือไม่ การกรอกข้อมูลลงในระบบแบบ MARC หรือเปล่า …. หากเราไม่ทราบเรื่องเหล่านี้ แนะนำกลับไปพัฒนาตามบทที่ 3
บทที่ 7 บทนี้เน้นการจัดการกับทีมงาน ซึ่งได้แก่ อาสาสมัคร เด็กฝึกงาน พนักงานฝึกหัด (บทนี้ถ้าดึงเข้ามาให้ตรงกับกรณีของประเทศไทยผทอาจจะเข้ายกตัวอย่างเป็น ยุวบรรณารักษ์ที่ช่วยงานในห้องสมุดโรงเรียนก็ได้)
บทที่ 8 บทสรุป เราทำงานในห้องสมุดคนเดียวก็จริง แต่ในโลกนี้ก็ไม่ได้มีห้องสมุดเพียงแห่งเดียว การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างห้องสมุด บรรณารักษ์จะได้เครือข่ายไปด้วย และเชื่อผมเถอะว่า “ไม่มีใครเข้าใจบรรณารักษ์นอกจากคนในวิชาชีพเดียวกันแน่นอน”
เอาเป็นว่าผมก็สรุปหนังสือคร่าวๆ เรียบร้อยแล้ว ภาพรวมของหนังสืออ่านไม่ยากเลยครับ และจำนวนหน้าที่ค่อนข้างน้อย (88 หน้า) แถมทุกบททีการสรุปออกมาเหลือ 5 ประเด็น และการยกตัวอย่างจากห้องสมุดต่างๆ ยิ่งทำให้เราเข้าใจง่ายขึ้นด้วย
จบการรีวิวแต่เพียงเท่านี้
ปล. ขอแถมภาพ infographic สรุปหนังสือเล่มนี้ให้เพื่อนๆ ด้วย คลิ๊กที่รูปเพื่อขยายภาพนะครับ
Leave a Reply