LibCampUbon#2 : กรณีศึกษาเว็บไซต์สารสนเทศท้องถิ่นจากห้องสมุด

การบรรยายในลำดับที่ 5 ของงานสัมมนาเครือข่ายบรรณารักษ์ยุคใหม่สัญจร ณ จังหวัดอุบลราชธานี
เรื่อง “กรณีศึกษา : สื่อสารสนเทศท้องถิ่นบนเว็บไซต์ห้องสมุดเมืองไทย
โดย นายเมฆินทร์ ลิขิตบุญฤทธิ์ (ผมเอง) นักพัฒนาระบบห้องสมุด ศูนย์ความรู้กินได้


การบรรยายในส่วนของผมจะสอดคล้องกับเรื่อง “การเรียนการสอนในวิชาสารสนเทศท้องถิ่นมีความสำคัญและจำเป็นอย่างไร”  ในหัวข้อที่ 4 ของงาน Libcampubon#2 แต่ของผมจะเน้นไปในเรื่องของเว็บไซต์สารสนเทศท้องถิ่นเป็นหลัก

สไลด์ที่ผมใช้บรรยายในครั้งนี้ ดูได้จากด้านล่างนี้เลยนะครับ

เนื้อหาของสไลด์และสิ่งที่ผมบรรยายสรุปได้ดังนี้

การบรรยายเริ่มจากการสรุปข้อมูลจากการบรรยายตั้งแต่ช่วงเช้าจนมาถึงเรื่องการศึกษาวิชาสารสนเทศท้องถิ่น ซึ่งได้พูดถึงแหล่งข้อมูลที่ผู้ใช้หรือห้องสมุดต้องการว่ามาจากแหล่งใดบ้าง ซึ่งหลักๆ คนไม่พ้น “ความรู้ที่มาจากตัวบุคคล สืบต่อกันมาเรื่อยๆ” และแหล่งค้นคว้าอื่นๆ เช่น
– ห้องสมุด
– ศูนย์ศิลปะและวัฒนธรรม
– หอจดหมายเหตุ
– พิพิธภัณฑ์
– วัด

ซึ่งแหล่งข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ยังมีข้อจำกัดในเรื่องสถานที่และเวลาในการให้บริการ เช่น ห้องสมุดปิดหนึ่งทุ่ม หากต้องการข้อมูลหลังสองทุ่มก็ไม่สามารถเข้ามาใช้บริการได้ หรือ ผู้ใช้บริการจากต่างประเทศต้องเดินทางไกลมาจากประเทศอื่นๆ ซึ่งยากมาก ดังนั้นทางออกของเรื่องการนำเสนอข้อมูลสารสนเทศอีกทางคือต้องเพิ่งพาเรื่อง “เทคโนโลยี” ซึ่งเน้น “เทคโนโลยีเว็บไซต์”

อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องย้ำคือ สารสนเทศท้องถิ่นหลายคนเข้าใจว่าเป็นเรื่องของประวัติศาสตร์ (เรื่องอดีต) เพียงอย่างเดียว แต่จริงๆ แล้วยังต้องรวมถึงเรื่องปัจจุบัน และอนาคตด้วย โดยเฉพาะเรื่องที่อยู่ในพื้นที่ของตัวเองต้องรู้ทุกอย่าง

ห้องสมุดหลายๆ แห่งจึงมีบทบาทเพียงเติมโดยเฉพาะการจัดการสารสนเทศท้องถิ่น
หลายๆ แห่งมีการจัดทำมุมสารสนเทศท้องถิ่นในห้องสมุดและอีกหลายๆ แห่งนำข้อมูลเหล่านั้นมาแสดงในเว็บไซต์
ซึ่งผมได้นำเสนอข้อมูลเว็บไซต์สารสนเทศท้องถิ่นที่จัดทำโดยห้องสมุด (แค่ตัวอย่าง)

ตัวอย่างเว็บไซต์สารสนเทศท้องถิ่นที่จัดทำโดยห้องสมุดที่น่าสนใจ
– ภาคเหนือ
http://www.lannacorner.net/ – ล้านนาคอร์เนอร์
http://lib.payap.ac.th/webin/ntic/ – ศูนย์ข้อมูลภาคเหนือ สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยพายัพ

– ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
http://nadoon.msu.ac.th/web/ – ศูนย์สารนิเทศอีสานสิรินธร
http://www.bl.msu.ac.th/ – โครงการอนุรักษ์ใบลานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ม.มหาสารคาม
http://lib12.kku.ac.th/esan/ – มุมอีสานสนเทศ สำนักวิทยบริการ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

– ภาคตะวันออก
http://rrulocal.rru.ac.th/ – ข้อมูลท้องถิ่นภาคตะวันออก สำนักวิทยบริการฯ มหาวิทยาลัยราชภัฎราชนครินทร์

– ภาคกลาง
http://www.odi.stou.ac.th/nonthaburi-studies – นนทบุรีศึกษา สำนักบรรณสารสนเทศ มสธ.

– ภาคใต้
http://localinfo.tsu.ac.th/jspui/ – ฐานข้อมูลท้องถิ่นภาคใต้ สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยทักษิณ
http://wbns.oas.psu.ac.th/ – ฐานข้อมูลข่าวจังหวัดชายแดนภาคใต้ หอสมุดจอห์นเอฟ เคนเนดี้

ในส่วนของจังหวัดอุบลราชธานีเองก็มีเว็บไซต์สารสนเทศท้องถิ่นที่น่าสนใจมากมาย เช่น
http://www.guideubon.com/ – ไกด์อุบล.com
http://202.29.20.74/rLocal/ – ฐานข้อมูลท้องถิ่นจังหวัดอุบลราชธานี ม.ราชภัฎอุบลราชธานี
http://www.aac.ubru.ac.th/ – สำนักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
http://www.lib.ubu.ac.th/localinformation/ – งานข้อมูลท้องถิ่น สำนักวิทยบริการ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
http://www.esansawang.in.th/esanweb/es0_home/index_esan.html – ภาษาและวัฒนธรรมอีสาน โรงเรียนสว่างวีระวงศ์

เอาเป็นว่านี่ก็เป็นเพียงการเริ่มต้นของการนำเสนอข้อมูลสารสนเทศท้องถิ่นผ่านเว็บไซต์นะครับ
เรื่องของวิธีและโปรแกรมจริงๆ แล้วยังมีเยอะนะครับที่สามารถนำมาใช้ได้
แต่เวลาในการนำเสนอมีจำกัด ผมจึงขอยกยอดไปไว้บรรยายในคราวต่อไปนะครับ

ก่อนจากกันวันนี้ผมขอบอกไว้ก่อนว่า การสรุปงาน libcampubon#2 ยังไม่จบครับ
ยังเหลือต่อพิเศษอีกตอนหนึ่ง คือเรื่องของ มุมสารสนเทศท้องถิ่นในห้องสมุดประชาชนจังหวัดอุบลราชธานี
และเรื่องทิศทางและหัวข้อที่น่าสนใจสำหรับ libcampubon#3 ด้วยครับ
ยังไงก็รออ่านได้ในวันพรุ่งนี้นะครับ สำหรับวันนี้ต้องไปจริงๆ และ บ๊ายบาย

LibCampUbon#2 : วิชาสารสนเทศท้องถิ่นเรียนอะไร – สำคัญหรือไม่

session ที่สี่ของงาน LibcampUbon#2 (การศึกษาในวิชาสารสนเทศท้องถิ่น)
เรื่อง “การเรียนการสอนในวิชาสารสนเทศท้องถิ่นมีความสำคัญและจำเป็นอย่างไร
โดยวิทยากร อาจารย์วิมานพร รูปใหญ่ อาจารย์สาขาบรรณารักษศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์ ม.ราชภัฎอุบลฯ

การบรรยายเริ่มจากเรื่องของการศึกษาวิชาสารสนเทศท้องถิ่นในมหาวิทยาลัยราชภัฎอุบลราชธานี
ซึ่งวิชานี้ ถือว่าเป็นวิชาเอกบังคับของนิสิตภาคบรรณฯ ของมหาวิทยาลัยราชภัฎอุบลราชธานีเลยก็ว่าได้

ทำไมถึงต้องเป็นวิชาเอกบังคับ (เด็กเอกบรรณฯ ต้องเรียน)
– เกิดจากการปรับเปลี่ยนหลักสูตรของภาควิชาและจุดเน้นของคณะที่ต้องการผลิตบัณฑิตที่เข้าใจและสามารถจัดการข้อมูลท้องถิ่นได้ นอกจากนี้ทางภาควิชาได้คาดหวังในเรื่องของการค้นคว้าหาข้อมูลที่อยู่ในท้องถิ่นเพื่อเผยแพร่ข้อมูลต่างๆ และรักษาประเพณีและวัฒนธรรมดั้งเดิมของคนในพื้นที่ด้วย

ประวัติความเป็นมาของวิชานี้ ภาคบรรณฯ ของมหาวิทยาลัยราชภัฎอุบลราชธานีเปิดมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518 (นานใช่มั้ยหล่ะครับ)  และแต่เดิมวิชานี้ถือว่าเป็นวิชาเลือกของเอกบรรณฯ เท่านั้น แต่พอมีการปรับหลักสูตรใหม่ในปี พ.ศ. 2551 จึงเห็นควรให้วิชานี้เปลี่ยนสถานะเป็นวิชาเอกบังคับ โดยเพิ่มเริ่มเรียนเป็นวิชาเอกบังคับครั้งแรกเมื่อเทอมที่แล้วนี้เอง (ปล. ประวัติของภาควิชานี้อ่านได้จาก http://www.libis.ubru.ac.th/history.php)

หลักสูตรการเรียนการสอนในวิชานี้เทอมนึงก็จะมี 16 สัปดาห์ โดยนักศึกษาจะได้เรียนในหัวข้อต่างๆ เช่น
– พื้นฐานความรู้ของเรื่องสารสนเทศท้องถิ่น (ค้นได้จากไหนบ้าง มีที่มาอย่างไร)
– แหล่งสารสนเทศท้องถิ่น (เน้นที่ข้อมูลจากตัวบุคคล)
– การจัดการสารสนเทศท้องถิ่น
– การสืบค้นข้อมูลสารสนเทศท้องถิ่น
– โจทย์งานศึกษาข้อมูลในท้องถิ่นของตนเอง (2-3 สัปดาห์)
– นำเสนอผลงานสารสนเทศท้องถิ่นที่ได้ไปค้นคว้า
– การเผยแพร่ข้อมูลสารสนเทศท้องถิ่น

เพื่อให้การเรียนการสอนประสบความสำเร็จ อาจารย์จึงได้อธิบายเกี่ยวกับเรื่องการทำฐานข้อมูลสารสนเทศท้องถิ่นด้วย การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการจัดการ รวบรวม และค้นหาทำให้สารสนเทศท้องถิ่นมีการพัฒนาต่ออย่างยั่งยืน

อีกเรื่องที่นักศึกษาจะต้องเข้าใจและเรียนรู้ คือ การทำเครือข่ายสารสนเทศท้องถิ่น (ใครมีดีอะไรเราต้องรู้จัดนำมาใช้)

หลังจากที่บรรยายเรื่องการศึกษาไปส่วนหนึ่งแล้ว วิทยากรทั้งสองจึงขอเปิดพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องการจัดการสารสนเทศท้องถิ่นในชุมชน ซึ่งสรุปข้อมูลได้ว่า
– มีการเผยแพร่ข้อมูลที่เกี่ยวกับอุบลฯ ค่อนข้างน้อย
– ชาวบ้านไม่ค่อยให้ความร่วมมือในเรื่องการรวบรวมภูมิปัญญาท้องถิ่นเนื่องจากกลัวคนอื่น copy ผลงาน
– ในแง่คิดของรัฐเราอยากให้เกิดกระบวนการแลกเปลี่ยนความรู้ ในแง่คิดของชาวบ้านกลัวคนลอกเลียนแบบ
– ภูมิปัญญาบางอย่างมันคงอยู่ในชีวิตประจำวันจนทำให้ชาวบ้านลืมเก็บสั่งสมองค์ความรู้
– กศน มีโครงงานที่เกี่ยวกับอาชีพในท้องถิ่นมากมาย น่าจะนำมาทำเป็นคลังความรู้ได้

ทำไมต้องเรียน
– สร้างความภาคภูมิใจในท้องถิ่นของตนเอง
– แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมที่หลากหลายและคงอยู่กับคนในชุมชน

เอาเป็นว่านี่ก็เป็นเรื่องแบบคร่าวๆ ของเรื่องการศึกษาข้อมูลสารสนเทศท้องถิ่นเท่านั้นนะครับ
(กรณีตัวอย่างจาก สาขาบรรณารักษศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์ ม.ราชภัฏอุบลฯ)

สำหรับเพื่อนๆ ที่สนใจข้อมูลในภาควิชาบรรณารักษศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์ ม.ราชภัฏอุบลฯ
ก็สามารถดูได้ที่ http://www.libis.ubru.ac.th/

LibCampUbon#2 : จัดรูปแบบสื่อสารสนเทศท้องถิ่นให้เป็นระบบ

ช่วงบ่ายหลังจากกินข้าวเสร็จก็มาพบกับหัวข้อที่สามประจำงาน LibcampUbon#2
เรื่อง “การจัดรูปแบบกระบวนการจัดเก็บรวบรวม อนุรักษ์ รักษา สื่อสารสนเทศท้องถิ่นอย่างไรให้เป็นระบบ
โดย อาจารย์ชำนาญ ภูมลี หัวหน้าหอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ อุบลราชธานี

การบรรยายในครั้งนี้มีเอกสารประกอบด้วยนะครับ (สไลด์ประกอบ) ชมได้จากด้านล่างนี้เลยนะครับ
หรือเข้าไปดูได้ที่ http://www.slideshare.net/kindaiproject/libcampubon2-collection-development-for-local-information

เอาหล่ะเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเพื่อนๆ ก็ดูสไลด์และอ่านบทสรุปไปพร้อมๆ กันเลยดีกว่า

อาจารย์ได้เตรียมสไลด์ซึ่งใช้หัวข้อว่า “กระบวนการจัดเก็บรวบรวม อนุรักษ์รักษา สื่อสารสนเทศท้องถิ่น ให้เป็นระบบ
ซึ่งหลักๆ อาจารย์จะบรรยาย 3 ประเด็นหลักๆ คือ
1. สารสนเทศมีอะไรบ้าง
2. กระบวนการรวบรวม จัดเก็บ อนุรักษ์ รักษา สื่อสารสนเทศ
3. ตัวอย่างสารสนเทศท้องถิ่นจังหวัดอุบลราชธานีและจังหวัดอื่นๆ

ก่อนเข้าเรื่องขอบอกกอ่นนะครับว่าอาจารย์เป็นนักจดหมายเหตุดังนั้นข้อมูลจะเป็นสารสนเทศท้องถิ่นเชิงประวัติศาสตร์มากหน่อยนะครับ

อาจารย์ได้อธิบายเรื่อง สารสนเทศท้องถิ่นคืออะไร และ อะไรคือสารสนเทศท้องถิ่นบ้าง
ซึ่งหลักๆ สารสนเทศท้องถิ่นเกิดจากวัสดุต่างๆ มากมาย เช่น อิฐ หิน ดิน ไม้…….
ส่วนสิ่งที่จะเป็นสารสนเทศท้องถิ่นได้ก็คือเอาวัสดุต่างๆ เหล่านั้น มาเขียน มาวาด มาทำสัญลักษณ์ เพื่อให้คงอยู่และสื่อความหมายได้

“สารสนเทศท้องถิ่น คืออะไร อิฐ หิน ดิน ทราย ไม้ ปูน เหล็ก ใบไม้ กระดาษ ฟิล์ม เทป ครั่ง พลาสติก #libcampubon2”
“อะไรคือสารสนเทศท้องถิ่น อิฐที่มีตัวหนังสือ ศิลาจารึก อิฐมีตัวหนังสือ ป้ายต่างๆ ใบลาน หนังสือ รูปภาพ แผนที่ #libcampubon2)”

เชื่อหรือไม่ : เสื้อรุ่นก็ยังถือว่าเป็นสารสนเทศท้องถิ่นเลย เนื่องจากบนเสื้อรุ่นจะมีข้อความบ่งบอกถึงสถานที่ ช่วงเวลา และสามารถสื่อความหมายให้คนอื่นเข้าใจได้

ความหมายของสารสนเทศเบื้องต้น = ผลลัพธ์ของกระบวนการจัดการข้อมูล และความรู้ต่างๆ นั่นเอง
อาจารย์ได้เปรียบเทียบให้เราเห็นอีกว่า สารสนเทศก็เหมือนกับ สื่อ  สื่อมวลชน ข้อมูลข่าวสาร เช่นกัน

คำว่าจดหมายเหตุ จริงๆ แล้วมี 3 พยางค์ แต่สามารถแยกออกเป็นคำที่มีความหมายได้ 6 คำ คือ จด, หมาย, เหตุ, จดหมาย, หมายเหตุ, จดหมายเหตุ (โดยจดหมายเหตุจะเน้นไปที่ข้อมูลที่มีความสำคัญและเป็นของเก่า)

เมื่อเรารู้จักความหมายและลักษณะทั่วไปของสารสนเทศท้องถิ่นและจดหมายเหตุแล้ว
อาจารย์ได้นำเราเข้าสู่เรื่องของกระบวนการรวบรวม จัดเก็บ อนุรักษ์ รักษา สื่อสารสนเทศ

เรื่องแรกที่ต้องคิด คือ การรวบรวมข้อมูล หอจดหมายเหตุสามารถดำเนินการได้ 3 วิธี คือ
1. การออกระเบียบและกฎหมาย (สำหรับหน่วยงานรัฐถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องปฏิบัติเลย เช่น พรบ ระเบียบงานสารบรรณ)
2. การขอรับบริจาค
3. การซื้อ

เมื่อรวบรวมแล้วจึงมีการประเมินคณค่าเป็นอันดับสอง โดยหากเอกสารชิ้นไหนมีสาระสำคัญก็ถือว่าเป็นจดหมายเหตุได้ แต่ถ้าชิ้นไหนไม่มีคุณค่าก็จะทิ้งและทำลาย (เราไม่สามารถเก็บได้ทุกอย่าง ข้อจำกัดเรื่องสถานที่)

เมื่อได้จดหมายเหตุที่คัดเลือกและผ่านการประเมินแล้ว ขั้นตอนต่อไป คือ การให้เลขหมวดหมู่ ซึ่งขึ้นอยู่กับนโยบายของหน่วยงานว่าต้องการจัดระบบแบบไหน

จากนั้นก็เข้าสู่กระบวนการบำรุงให้จดหมายเหตุอยู่คงทนต่อไป ซึ่งมีหลายวิธีมาก เช่น การอัดล้างขยายภาพถ่าย การทำไมโครฟิล์ม การทำสำเนาเอกสาร การเสริมกระดาษ การอบน้ำยาฆ่าแมลง การจัดเก็บเข้าตู้

งานของหอจดหมายเหตุมองรวมๆ ก็คล้ายๆ ห้องสมุดนะ แต่ความพิเศษและความยากของหอจดหมายเหตุอยู่ที่เอกสารที่จัดเก็บมีสภาพเก่าแก่ ฝุ่นเยอะ
…… ดังนั้นคนทำงานด้านนี้ลำบากกว่านะ (80% ของคนทำงานหอจดหมายเหตุโสด – อันนี้อาจารย์พูดแซวนะ)

เมื่อเรารู้จัดภาพรวมของการรวบรวม จัดเก็บ อนุรักษ์ รักษา สื่อสารสนเทศแล้ว อาจารย์ได้พูดถึงงานบริการในหอจดหมายเหตุ ว่ามีดังนี้
– การให้บริการอ่านเอกสารจดหมายเหตุ
– การให้บริการทำสำเนา
– การค้นคว้าและบริการยืมจดหมายเหตุ
– การให้บริการถ่ายภาพ

บทสรุปของกระบวนการทำงานในหอจดหมายเหตุ (ชมภาพด้านล่าง)

จบในเรื่องของขั้นตอนแล้ว อาจารย์ก็นำเสนอตัวอย่างสารสนเทศท้องถิ่นให้พวกเราชม โดยเน้นภาพถ่ายเก่าๆ

เป็นยังไงกันบ้างครับเข้าใจเรื่องสารสนเทศท้องถิ่นกันเพิ่มบ้างหรือปล่าวครับ
นอกจากนี้ยังเห็นขั้นตอนของการจัดระบบด้วย โหแบบว่านานๆ จะได้ข้อมูลเช่นนี้นะครับ
ยังเหลือเรื่องอีกสองตอน เอาเป็นว่าก็ติดตามบทสรุปของงาน libcampubon#2 กันต่อไปนะครับ

LibCampUbon#2 : นำเสนอสารสนเทศท้องถิ่นอย่างไรไม่ให้น่าเบื่อ

หัวข้อที่สองของงานสัมมนาเครือข่ายบรรณารักษ์ยุคใหม่สัญจร ณ จังหวัดอุบลราชธานี (Libcampubon#2)
คือเรื่อง “นำเสนอข้อมูลสารสนเทศท้องถิ่นอย่างไรไม่ให้น่าเบื่อ
โดย อาจารย์ ดร. กิติรัตน์ สีหบัณฑ์ ผู้อำนวยการสำนักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฎอุบลราชธานี

เมื่อเราได้สารสนเทศท้องถิ่นมาแล้ว เราก็ต้องรู้จักการนำเสนอข้อมูลให้น่าสนใจ
อาจารย์จึงได้นำเสนอกรณีศึกษาของ “สำนักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฎอุบลราชธานี” ซึ่งสรุปได้ดังนี้

เริ่มต้นจากการแนะนำตัวเองเช่นกัน และเล่าที่มาก่อนที่จะมาได้รับตำแหน่ง ผอ. ที่นี่
ซึ่งต้องผ่านกระบวนการของการสรรหาของ มหาวิทยาลัยราชภัฎอุบลราชธานี (ต้องแสดงวิสัยทัศน์)

งานหลักที่ดูแลอยู่ในตอนนี้ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ
1. งานบริหารด้านวิชาการ
2. งานบริการความรู้สู่ชุมชน

อาจารย์ชอบทำงานอยู่เป็นเบื้องหลัง ซึ่งงานระดับจังหวัดหลายๆ งานก็มักจะเข้ามาขอความร่วมมือจากสำนักศิลปะและวัฒนธรรม
ตัวอย่างงานระดับจังหวัด เช่น งานพิธีบวงสรวงและสดุดีวีรกรรมพระปทุมวรราชสุริยวงษ์ (เจ้าคำผง) เป็นต้น

ข้อคิดของการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ คือ “พยายามอย่าทำให้ตัวเองให้ popular เพราะคนอื่นจะจับตามองรวมถึงจับผิดด้วย
ถ้าอยากจัดงานในพื้นที่แล้วไม่มีอุปสรรคมาขวาง วิธีง่ายๆ คือ “ลายเซ้นต์ของผู้ว่าฯ

กรณีศึกษาเรื่อง งานพิธีบวงสรวงและสดุดีวีรกรรมพระปทุมวรราชสุริยวงษ์ (เจ้าคำผง)
ก่อนปี 2537 คนอุบลฯ ยังไม่ค่อยรู้จัก “เจ้าคำผง” เลย วิธีการที่ใช้เพื่อให้คนรู้จัก คือ จัดพิมพ์หนังสือแจกปีละ 3,000 เล่ม ต่อเนื่อง 5 ปี (ทำไมต้องจัดพิมพ์หนังสือ เพราะหนังสือสามารถจัดเก็บได้นานกว่าสื่อชนิดอื่นๆ) ภายในงานพิธีบวงสรวงจะไม่มีการขายของ (ไม่มีการออกร้านขายของ) เพราะไม่อยากทำลายบรรยากาศอันศักดิ์สิทธิ์ ในงานอนุญาตให้คนนำหมากพลูมาถวาย …..

ความสำเร็จของสำนักศิลปะและวัฒนธรรม (ศูนย์ศิลป์) มาจากการพัฒนาของ ผอ. ตั้งแต่สมัยอดีต แม้ว่า ผอ. จะถูกเปลี่ยนไปหลายคนแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยน คือ นโยบายของการบริหารที่มีการพัฒนางานอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นทำให้ไม่ขาดตอน

ข้อมูลทั่วไปของหออุบลนิทัศน์
เริ่มต้นสร้างในวันที่ 17 กันยายน 2540 และเสร็จในวันที่ 9 เมษายน 2542 ใช้งบประมาณในการสร้าง 94 ล้าน

เมื่อได้อาคารมาแล้ว โจทย์ที่ยากก็ตามมาคือ “จะเริ่มต้นจัดแสดงกันอย่างไร”
ทำไมถึงยาก : เพราะเริ่มต้นที่ไม่มีข้อมูล ไม่มีวัตถุโบราณแสดง และข้อมูลกว้างมาก

อาจารย์ในมหาวิทยาลัยราชภัฎหลายสาขาจึงถูกแต่งตั้งให้เป็นคณะทำงานเพื่อการค้นคว้าข้อมูล (แต่ละคณะถูกมอบหมายให้ค้นหาข้อมูลต่างกัน)

เคล็ดลับและแง่คิดก่อนที่จะเริ่มต้นค้นคว้า
– หากพูดถึงประวัติศาสตร์ ทุกคนจะรู้ว่ามันมีเรื่องที่มากมายในนั้น แต่สิ่งที่หออุบลนิทัศน์เน้น คือ เหตุการณ์ที่สำคัญในแต่ละยุคเท่านั้น ไม่ได้รวบรวมข้อมูลมาทั้งหมด
– แบ่งข้อมูลตามยุคสมัย เช่น ยุคก่อนประวัติศาสตร์ (ผาแต้ม), ยุคปฎิรูปการเมืองใน ร.5, ยุคเปลี่ยนแปลงการปกครอง ฯลฯ
– เนื้อหาที่นำมาแสดงต้องกระชับ เข้าใจง่าย และตัวอักษรต้องใหญ่ อ่านง่าย
– การนำเสนอข้อมูลต้องอาศัยภาพประกอบ วัสดุตัวอย่าง รวมไปถึงการสร้างโมเดลประกอบ
– การแบ่งพื้นที่ในหออุบลนิทัศน์แบ่งห้องนิทรรศการออกเป็น 4 ห้องหลัก
– สร้างความมีส่วนร่วมให้คนในชุมชน จัดกิจกรรมบริจาคภาพเก่าๆ ในอดีต
– มีการใช้ไวนิลเพื่อจัดนิทรรศการครั้งแรกของจังหวัดอุบลราชธานี
– การจัดลำดับความสำคัญของเหตุการณ์ และตามความสำคัญของเนื้อหา


ห้องแสดงนิทรรศการหลัก 4 ห้อง
มีดังนี้
1. ห้องภูมิเมือง – ภูมิศาสตร์ของเมืองอุบลราชธานี สภาพทางธรณีวิทยา ภาพถ่ายจากดาวเทียม
2. ห้องภูมิราชธานี – ประวัติของเมือง เน้นไฮไลท์ ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ยุคประวัติศาสตร์ สมัยก่อตั้งเมือง สถาปนาเมือง ก่อนการปฏิรูปการปกครอง ยุคปฏิรูปการปกครอง ร.5 กรมหลวงพิชิตปรีชากร กรมหลวงสรรพสิทธิ์ เหตุการณ์สำคัญ ขบถผู้มีบุญ
3. ห้องภูมิธรรม – พระธรรมต่างๆ พระอาจารย์หลายๆ คน
4. ห้องภูมิปัญญา – ภูมิปัญญาของชาวอุบล สมุนไพรพื้นบ้าน อาหารและครัวไฟ การแต่งกาย ภาษาและวรรณกรรม ดนตรีและนาฎศิลป์ มุมคนดีศรีอุบล

ข้อมูลเพื่อการติดต่อ
อาคารศูนย์ศิลปวัฒนธรรมกาญจนาภิเษก สำนักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฎอุบลราชธานี
2 ถนนแจ้งสนิท ต.ในเมือง อ.เมือง จ.อุบลราชธานี 34000
โทรศัพท์ 0 4535 2000-29 ต่อ 1122

ปล. ข้อมูลที่สรุปมาจากการบรรยายและแผ่นพับที่อาจารย์นำมาแจกครับ


ก่อนจบอาจารย์ได้แนะนำเว็บไซต์ของ “สำนักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฎอุบลราชธานีhttp://www.aac.ubru.ac.th ซึ่งเพื่อนๆ สามารถเข้าชมรายละเอียดเพิ่มเติมได้

LibCampUbon#2 : สื่อสารสนเทศท้องถิ่นมาจากไหน

หัวข้อแรกของงานสัมมนาเครือข่ายบรรณารักษ์ยุคใหม่สัญจร ณ จังหวัดอุบลราชธานี (Libcampubon#2)
คือเรื่อง “สื่อสารสนเทศท้องถิ่นมาจากไหน และจะรวบรวมสื่อสารสนเทศท้องถิ่นได้อย่างไร”
โดยอาจารย์ปัญญา แพงเหล่า นักประชาสัมพันธ์ชำนาญการ สพท. อุบลราชธานี เขต 4


อาจารย์เริ่มต้นจากการแนะนำตัวอย่างเป็นกันเอง (อาจารย์เรียนจบช่างกลแต่ถนัดถ่ายภาพ)
และพูดถึงการเริ่มต้นสนใจเรื่องข้อมูลท้องถิ่น มาจาก “ความไม่รู้” ทำให้ “อยากรู้”

อาจารย์ย้ำก่อนที่จะเริ่มบรรยายว่า “อาจารย์ไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับวิชาชีพบรรณารักษ์แต่อาจารย์สนใจเรื่องการรวบรวมข้อมูลและนำมาเผยแพร่ให้กับทุกคนได้อ่าน” ซึ่งอาจารย์ให้แง่คิดว่า “สื่อทุกอย่างน่าจะถึงมือประชาชน

อาจารย์ได้เล่าถึงประสบการณ์ในการทำงานโครงการใหญ่ๆ 2 โครงการ คือ
1. การทำหนังสืออุบลราชธานี 200 ปี
2. โครงการฮักแพง … แปงอุบล (ความผูกพัน….การเปลี่ยนแปลงในจังหวัดอุบลราชธานี) ปี 2546-2549

สารสนเทศท้องถิ่นมาจากไหน => เสียง ภาพ เรื่องเล่า …… เน้นที่ตัวคน
ข้อมูลได้ถูกรวบรวมมาจากหลายๆ ภาคส่วน ซึ่งเน้นไปที่ข้อมูลที่ตัวบุคคลเป็นหลัก
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล่าที่สืบทอดกันมา ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ ภาพเก่าที่เก็บรักษา…..


อาจารย์ปัญญาเล่าให้ฟังถึงอุปสรรคและปัญหาที่ใหญ่ที่สุดให้ฟัง คือ….
ข้อมูลสูญหาย (ข้อมูลที่อาจารย์รวบรวมเอาไว้ในคอมพิวเตอร์หายหมดเลย เนื่องจากคอมพิวเตอร์เสีย)
แง่คิดที่อาจารย์ฝากไว้ คือ “การเก็บข้อมูลดีที่สุดคือเขียน บันทึกเป็นภาพถ่าย อย่าหวังเรื่องดิจิตอลมาก

ข้อมูลที่จัดเก็บได้ยาวนานที่สุด คือ การบันทึกข้อมูลด้วยการเขียน
บันทึกในสมัยโบราณ เช่น การบันทึกข้อมูลลงในใบลาน….

ตัวอย่างภาพเก่าที่อาจารย์ปัญญานำมาให้พวกเราได้ดูกัน

ภาพถ่ายสะพานเสรี (2497) ตอนสร้างเสร็จใหม่ๆ คนนิยมไปถ่ายภาพเพื่อมาทำเป็น สคส
ภาพถ่ายสะพานเสรี (2497) ตอนสร้างเสร็จใหม่ๆ คนนิยมไปถ่ายภาพเพื่อมาทำเป็น สคส

ข้อมูลสารสนเทศท้องถิ่นที่สำคัญ คือ สารสนเทศท้องถิ่นทางประวัติศาสตร์
ในจังหวัดอุบลราชธานีมีหน่วยงานที่ทำหน้าที่นี้อยู่ เช่น มหาวิทยาลัยราชภัฎจังหวัดอุบลราชธานี มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี หอจดหมายเหตุเฉลิมพระเกียรติ และพิพธภัณฑ์แห่งชาติจังหวัดอุบลราชธานี เป็นต้น

เร็วๆ นี้จะมีการเปิดตัว “เว็บไซต์ร้อยเรื่องเมืองอุบล” ต้องรอติดตามกันต่อไปนะครับ

โครงการฮูปเก่า เว้าอุบล เป็นหนึ่งในโครงการที่ถูกต่อยอดมาจากโครงการฮักแพง … แปงอุบล
เป็นโครงการที่รวบรวมรูปภาพเก่าที่เล่าเหตุการณ์ต่างๆ ในจังหวัดอุบลราชธานี เพียงแค่รูปภาพเราก็จะเห็นวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ ประเพณี และความรุ่งเรืองของอดีต

วิธีง่ายๆ ในการจัดทำสารสนเทศท้องถิ่น (ขั้นตอนการรวบรวม)
1. ขอแค่เราถ่ายภาพให้เป็นก็เพียงพอแล้ว ถ่ายภาพสิ่งของใกล้ตัว เช่น อาคารที่อยู่อาศัย สิ่งปลูกสร้าง ถ่ายวันนี้ก็จะเป็นอดีตของวันหน้า
2. บันทึกเสียงเรื่องราวและเรื่องเล่าต่างๆ จากผู้เชี่ยวชาญหรือเอกสารที่เราเขียนถึง

ตัวอย่างเรื่องราวที่น่าเก็บ เช่น ภาพถ่ายของการปล่อยนกปล่อยปลาในวัด วันนี้ปล่อยนกคู่ละ 60 บาท อีก 10 ปีถ้าเรามาถ่าย ณ จุดเดิมนี้ เราอาจจะเห็นราคาที่เปลี่ยนแปลงไป เช่นเดียวกันภาพถ่ายราคาอาหารในร้านๆ หนึ่งเมื่อสิบปีที่แล้วกับตอนนี้คงไม่ใช่ราคาเดียวกันแน่ๆ สารสนเทศท้องถิ่นในลักษณะนี้จะทำให้เราเห็นความเปลี่ยนแปลงของสถานที่และเวลาด้วย

ข้อคิดสำหรับบรรณารักษ์ในเรื่องสารสนเทศท้องถิ่นที่อาจารย์ฝากไว้ คือ
“บรรณารักษ์ไม่ใช่นักประวัติศาสตร์ ไม่ต้องรู้เรื่องทุกเหตุการณ์ในอดีตก็ได้ แต่ขอให้รู้ถึงความเป็นมาของท้องถิ่นก็เพียงพอแล้ว”

นี่ก็เป็นเพียงบทสรุปของหัวข้อแรกในงาน libcampubon#2 นะครับ
วิทยากรท่านอื่นๆ ก็บรรยายได้น่าสนใจไม่แพ้กัน ติดตามอ่านกันต่อไปได้ในวันพรุ่งนี้ครับ

ปล. ในการบรรยายของอาจารย์ปัญญาอาจพูดประเด็นสลับไปมา ผมขออนุญาติเรียบเรียงและยกตัวอย่างเพิ่มเติมครับ

รวมภาพการจัดงานเครือข่ายบรรณารักษ์ยุคใหม่ Libcampubon#2

ผ่านไปแล้วสำหรับงานสัมมนาเครือข่ายบรรณารักษ์ยุคใหม่สัญจร ณ จังหวัดอุบลราชธานี (Libcampubon#2)
ก่อนที่จะไปอ่านบทสรุปของวิทยากรแต่ละคน ผมก็ขอประมวลภาพทั้งหมดมาให้ชมก่อนนะครับ
โดยภาพที่รวมนี้ตั้งแต่เริ่มจัดสถานที่จนถึงการถ่ายภาพรวมของผู้เข้าร่วมสัมมนาทุกคน


สถานที่ในการจัดงานของเราก็คือ บริเวณโถงกลางชั้น 1 ของห้องสมุดประชาชนจังหวัดอุบลราชธานี
(แบบว่า open air มากๆ ซึ่งไม่ว่าจะนั่งส่วนไหนของห้องสมุดก็จะได้ยินการเสวนาแน่นอน)

ก่อนเริ่มงานสัมมนาเครือข่ายบรรณารักษ์ยุคใหม่สัญจร ณ จังหวัดอุบลราชธานี (Libcampubon#2)
มีผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมงานทั้งหมด 45 คน ซึ่งเป็นอาจารย์ภาคบรรณฯ บรรณารักษ์ห้องสมุดประชาชน บรรณารักษ์ห้องสมุดมหาวิทยาลัย นักศึกษาเอกบรรณารักษ์ และผู้ที่สนใจทั่วไป

เมื่อถึงเวลาเริ่มงาน…ก็ต้องมีการเกริ่นที่มาที่ไปของการจัดงานในครั้งนี้เล็กๆน้อยๆ โดยผมเอง

เริ่มหัวข้อแรกด้วยเรื่อง สื่อสารสนเทศท้องถิ่นมาจากไหน และจะรวบรวมสื่อสารสนเทศท้องถิ่นได้อย่างไร โดย อาจารย์ปัญญา


ต่อด้วยหัวข้อที่สองเรื่อง นำเสนอข้อมูลสารสนเทศท้องถิ่นอย่างไรไม่ให้น่าเบื่อ โดย อาจารย์กิติรัตน์


หัวข้อที่สามเรื่อง การจัดรูปแบบกระบวนการจัดเก็บรวบรวม อนุรักษ์ รักษา สื่อสารสนเทศท้องถิ่นอย่างไรให้เป็นระบบ โดยอาจารย์ชำนาญ


หัวข้อที่สี่และหัวข้อที่ห้ารวมกัน เรื่องการเรียนการสอนในวิชาสารสนเทศท้องถิ่นมีความสำคัญและจำเป็นอย่างไร และกรณีศึกษา : สื่อสารสนเทศท้องถิ่นบนเว็บไซต์ห้องสมุดเมืองไทย โดยอาจารย์วิมานพร และผมเองครับ


ก่อนจบการสัมมนาในครั้งนี้ เรื่องแถม การแนะนำมุมสารสนเทศท้องถิ่นและแผนการพัฒนามุมสารสนเทศท้องถิ่นในห้องสมุดประชาชนจังหวัดอุบลราชธานี โดยคุณดาหวัน


ไม่ลืมก่อนแยกย้ายก็ต้องถ่ายรูปรวมกันสักหน่อย

นี่ก็เป็นเพียงภาพบางส่วนเท่านั้นนะครับ ถ้าอยากชมแบบเต็มๆ ก็ดูได้จากด้านล่างนี้เลยครับ
ประมวลภาพสัมมนาเครือข่ายบรรณารักษ์ยุคใหม่สัญจร ณ จังหวัดอุบลราชธานี (Libcampubon#2)

[nggallery id=39]

เป็นยังไงกันบ้างครับ ยังไงก็รออ่านบทสรุปต่อวันหลังได้เลยนะครับ

ปล. ขอบคุณสำหรับภาพงามๆ จากฝีมือทีมงานห้องสมุดประชาชนจังหวัดอุบลราชธานี

LibCampUbon#2 : สารสนเทศท้องถิ่นกับห้องสมุด

สัมมนาเครือข่ายบรรณารักษ์ยุคใหม่สัญจรกลับมาอีกครั้งแล้วนะครับ ครั้งนี้เราก็ยังคงจัดที่จังหวัดอุบลราชธานีเช่นเคย หรือที่หลายๆ คนรู้จักในนาม LibCampUbon#2 โดยหัวข้องานหลักในครั้งนี้ คือ “สารสนเทศท้องถิ่นกับห้องสมุด” หัวข้อเล็กๆ แต่เป็นโครงการใหญ่ของห้องสมุดหลายๆ แห่ง

รายละเอียดเบื้องต้นเกี่ยวกับงานนี้
ชื่องานภาษาไทย : สัมมนาเครือข่ายบรรณารักษ์ยุคใหม่สัญจร ณ จังหวัดอุบลราชธานี
ชื่องานภาษาอังกฤษ : LibCampUbon#2
ธีมหลักของงาน : สารสนเทศท้องถิ่นกับห้องสมุด
วันและเวลาที่จัดงาน : วันที่ 26 พฤษภาคม 2554
สถานที่จัดงาน : ห้องสมุดประชาชนจังหวัดอุบลราชธานี
ผู้จัดงาน : ห้องสมุดประชาชนจังหวัดอุบลราชธานี, ศูนย์ความรู้กินได้, เครือข่ายบรรณารักษ์ยุคใหม่

ทำไมธีมงานในครั้งนี้เราต้องเน้นเรื่องสารสนเทศท้องถิ่นด้วย คำตอบแบบง่ายๆ คือ “เพราะข้อมูลสารสนเทศท้องถิ่นถือว่าเป็นจุดเด่นของการศึกษาพื้นที่ ประวัติความเป็นมา และวัฒนธรรมของคนในพื้นที่นั้นๆ” แล้วห้องสมุดมีบทบาทและอะไรที่เกี่ยวข้องกับสารสนเทศท้องถิ่นหล่ะ อีกคำตอบ คือ “ศูนย์กลางแห่งข้อมูลท้องถิ่นที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งคือห้องสมุดยังไงหล่ะครับ

“สารสนเทศท้องถิ่น เป็นข้อมูลที่มีคุณค่า และมีความสำคัญ สำหรับศึกษาค้นคว้า ความรู้ ภูมิประวัติศาสตร์ และภูมิปัญญาท้องถิ่น”

หนังสือโครงการสัมมนาเครือข่ายบรรณารักษ์ยุคใหม่สัญจร : LibcampUbon ครั้งที่ 2
“สารสนเทศท้องถิ่นกับห้องสมุด   (Local Information @ Library)

เพื่อนๆ อ่านได้จาก http://www.kindaiproject.net/kmshare-blog/libcampubon2-proposal.html

ผมจะขอสรุปแบบคร่าวๆ ให้อ่านแล้วกันว่าในงานนี้เพื่อนๆ จะได้พบกับหัวข้อที่น่าสนใจอะไรบ้าง
– สื่อสารสนเทศท้องถิ่นมาจากไหน และจะรวบรวมสื่อสารสนเทศท้องถิ่นได้อย่างไร
– การจัดรูปแบบกระบวนการจัดเก็บรวบรวม อนุรักษ์ รักษา สื่อสารสนเทศท้องถิ่นอย่างไรให้เป็นระบบ
– นำเสนอข้อมูลสารสนเทศท้องถิ่นอย่างไรไม่ให้น่าเบื่อ
–  การเรียนการสอนในวิชาสารสนเทศท้องถิ่นมีความสำคัญและจำเป็นอย่างไร
– กรณีศึกษา : สื่อสารสนเทศท้องถิ่นบนเว็บไซต์ห้องสมุดเมืองไทย
– เสวนาร่วม : ความร่วมมือในการจัดทำมุมสารสนเทศท้องถิ่นในห้องสมุดประชาชนจังหวัดอุบลราชธานี

วิทยากรที่มาให้ความรู้และพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในงานนี้ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่มีความสามารถและเก่งในเรื่องสารสนเทศท้องถิ่นมากๆ เลยครับ เช่น นักการศึกษา หัวหน้าหอจดหมายเหตุ ผู้อำนวยการศูนย์ศิลปะและวัฒนธรรม อาจารย์ผู้สอนเรื่องสารสนเทศท้องถิ่น รวมถึงผมเองที่จะพูดในแง่ของสารสนเทศท้องถิ่นบนเว็บไซต์…

งานนี้ก็ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ หรือพูดง่ายๆ ว่า ฟรีเช่นเคย ใครสนใจก็ส่งเมล์มาหาผมได้นะครับ
สำหรับใครที่ต้องการจดหมายเชิญก็ส่งเมล์มาหาผมได้เช่นกัน เดี๋ยวจะให้เจ้าหน้าที่ส่งหนังสือเชิญไปให้

งานนี้ไม่อยากให้พลาดอีกเช่นเคย ใครที่สามารถเดินทางมาเข้าร่วมงานได้ก็ขอเชิญนะครับ ส่วนใครที่ไม่อยากเดินทางไกลในวันนั้นเราจะมีการ live tweet (ถ่ายทอดสดผ่านข้อความใน twitter นาทีต่อนาทีเลย ติดตามได้จาก twitter.com/kindaiproject)
หรือทางเลือกอีกทางหนึ่ง คือ รอติดตามผ่านบทสรุปด้วยการเขียนบล็อกของผมเองก็ได้ครับ

เอาเป็นว่าวันนี้ขอลงข่าว libcampubon แค่นี้ก่อนแล้วกัน สำหรับวันนี้ลาไปก่อนนะ อิอิ
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ส่งเมล์มาถามได้ที่ dcy_4430323@hotmail.com

ปล. libcampbkk ไม่ต้องน้อยใจเร็วๆ นี้เราจะจัดที่กรุงเทพฯ แน่นอนครับ สถานที่ตอนนี้ มธ รังสิต เสนอตัวมาแล้ว เรื่องแค่ธีมงานและหัวข้อเล็กๆ น้อยๆ ครับ

สัมมนาเครือข่ายบรรณารักษ์ยุคใหม่สัญจรกลับมาอีกครั้งแล้วนะครับ ครั้งนี้เราก็ยังคงจัดที่จังหวัดอุบลราชธานีเช่นเคย

สรุปการอบรมพัฒนาศักยภาพบรรณารักษ์สู่ e-Librarians

เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา (3 พ.ค.) ผมได้มีโอกาสไปบรรยายที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ภายใต้โครงการอบรมพัฒนาศักยภาพบรรณารักษ์สู่ e-Librarians วันนี้ผมจึงขอนำเนื้อหาในวันนั้นมาเล่าให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน

รายละเอียดเบื้องต้นของงานบรรยาย
ชื่อโครงการ : โครงการอบรมพัฒนาศักยภาพบรรณารักษ์สู่ e-Librarians
ชื่อวิทยากร : คุณเมฆินทร์ ลิขิตบุญฤทธิ์ เจ้าของบล็อก libraryhub
วันที่จัดงาน : วันที่ 3 พฤษภาคม 2554
สถานที่บรรยาย : ห้องราชมงคลเธียเตอร์ อาคารวิทยบริการ
ผู้จัดงาน : สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเทคโลยีราชมงคลธัญบุรี

ก่อนที่จะสรุปการบรรยาย ผมว่าเพื่อนๆ คงอยากเห็นสไลด์ของผมแล้ว เอาเป็นว่าไปชมสไลด์กันก่อนดีกว่า

สรุปเนื้อหาจากสไลด์ “การพัฒนาทักษะด้าน IT สู่การเป็นบรรณารักษ์ยุคใหม่

การบรรยายเริ่มจากเรื่องทักษะและความหมายแบบกว้างๆ เกี่ยวกับการเป็นบรรณารักษ์ยุคใหม่ ซึ่งผมชอบเรียกบรรณารักษ์ยุคใหม่ว่า Cybrarian นั่นเอง โดยบรรณารักษ์ยุคใหม่นอกจากจะต้องแม่นเรื่องของทักษะด้านบรรณารักษ์แล้ว ยังต้องเพิ่มทักษะอื่นๆ อีก เช่น ทักษะไอที ความคิดสร้างสรรค์ สื่อสังคมสมัยใหม่ และเครือข่ายสังคมออนไลน์

เรื่องของงานบรรณารักษ์ผมคิดว่าทุกคนคงแม่นอยู่แล้ว ผมจึงขออธิบายภาพรวมของงานห้องสมุดนิดนึง ว่ามีงานอะไรบ้าง และที่สำคัญสมัยนี้เกือบทุกงานล้วนแล้วแต่มีไอทีเข้ามาช่วยงานในห้องสมุดทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น งานบริหาร งานบริการ งานเทคนิค ฯลฯ

จากนั้นผมให้ดูวีดีโอห้องสมุดของประเทศเกาหลี ซึ่งเป็นห้องสมุดที่นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้เกือบทุกอย่าง

จากนั้นอธิบายในเรื่องของทักษะไอทีที่บรรณารักษ์ควรรู้ ซึ่งผมได้อัพเดทข้อมูลทักษะเพิ่มเติม (อัพเดทจาดสไลด์เก่า) ซึ่งมีดังนี้
1. ความรู้และทักษะในกลุ่มโปรแกรมสำนักงาน
2. ความรู้และทักษะในกลุ่มโปรแกรมสำหรับสื่อ
3. ความรู้และทักษะด้านการใช้งานระบบเครือข่าย
4. ความรู้และทักษะในกลุ่มพื้นฐานคอมพิวเตอร์
5. ความรู้และทักษะที่เกี่ยวกับอุปกรณ์อื่นๆ
6. ความรู้และทักษะในกลุ่มการใช้งานอินเทอร์เน็ต
7. ความรู้และทักษะการใช้งานระบบห้องสมุด
8. ความรู้และทักษะการใช้งานเว็บไซต์ 2.0

ในการบรรยายในช่วงนี้ผมให้เวลา 15 นาทีเพื่อเปิดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้การใช้งานระบบห้องสมุดอัตโนมัติร่วมกัน เนื่องจากที่นี่ใช้ระบบ Walai Autolib อยู่จึงมีการพูดคุยกันในประเด็นต่างๆ เช่น ปัญหาการเชื่อมต่อ การจัดทำบาร์โค้ด …… เอาเป็นว่าก็น่าจะได้หนทางดีๆ ในการแก้ปัญหาบ้างนะ

เมื่อจบเรื่องทักษะด้านไอทีแล้วผมก็เข้าสู่เรื่อง “สื่อสังคมออนไลน์ (Social Media)” ทันที
เปิดวีดีโอแนะนำและให้คำอธิบายว่าทำไมเราต้องใช้สื่อสังคมออนไลน์
(อ่านบทความประกอบเรื่องสื่อสังคมออนไลน์ได้ที่ โอกาสในการใช้ Social media ในโลกปัจจุบัน)

จากนั้นผมให้ดูสไลด์ไอเดียของการนำเว็บไซต์ 2.0 มาใช้ในงานห้องสมุด ชมสไลด์ด้านล่างได้เลยครับ

นั่นก็เป็นอีกสไลด์นึงที่ผมใช้ในการบรรยายครั้งนี้

บรรยายช่วงเช้าจบตรงที่เรื่องของภาพรวมของสื่อสังคมออนไลน์ เริ่มต้นในช่วงบ่ายเป็นกรณีศึกษาการใช้ Blog Facebook Twitter ในงานห้องสมุด

Blog – ใช้ทำอะไรได้บ้าง ตัวอย่างการใช้บล็อกห้องสมุดในหลายจุดประสงค์ เราสามารถเขียนเรื่องอะไรลงในบล็อกได้บ้าง
Facebook – คำอธิบาย ตัวเลขของการใช้ facebook ทั่วโลก facebook กับงานห้องสมุด 10 อันดับหน้าแฟนเพจห้องสมุดระดับโลก
Twitter – คำอธิบาย ตัวเลขของการใช้ twitter ทั่วโลก อธิบายการใช้งานเบื้องต้น 10 อันดับ twitter ห้องสมุดที่มีคนตามเยอะ

แนวโน้มของห้องสมุดในปี 2011 เพื่อนๆ อ่านได้ที่ “แนวโน้มของ Social Media กับงานห้องสมุดในปี 2011
เรื่องที่ผมแถมจากเรื่องของ trend แล้วยังมีวีดีโอและเว็บไซต์ Library101 ที่น่าสนใจด้วย ลองเข้าไปดูต่อได้ที่ http://libraryman.com/library101/

กรณีศึกษาการใช้งานและการพัฒนาเว็บไซต์
http://www.kindaiproject.net – เว็บไซต์โครงการศูนย์ความรู้กินได้ ห้องสมุดประชาชนจังหวัดอุบลราชธานี
http://www.libraryhub.in.th – เว็บบล็อกเครือข่ายห้องสมุดและบรรณารักษ์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
http://www.snc.lib.su.ac.th/snclibblog – บล็อกห้องสมุด ม ศิลปากร
http://tanee.oas.psu.ac.th – ห้องสมุด JFK มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
http://www.facebook.com/kindaiproject – Facebook โครงการศูนย์ความรู้กินได้ ห้องสมุดประชาชนจังหวัดอุบลราชธานี
http://www.facebook.com/thlibrary – Fanpage เครือข่ายห้องสมุดและบรรณารักษ์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
http://www.twitter.com/kindaiproject – Twitter โครงการศูนย์ความรู้กินได้ ห้องสมุดประชาชนจังหวัดอุบลราชธานี

จากนั้นก็ให้ดูตัวอย่างการสร้างแผนกลยุทธ์ในการใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ในห้องสมุดด้วยเพื่อเป็นแนวทางในการใช้งาน
(ปัจจุบันห้องสมุดมีสื่อสังคมออนไลน์แล้วแต่มีการใช้งานที่ไร้ทิศทางทำให้ได้ประสิทธิภาพน้อย จึงแนะนำเรื่องนี้ด้วย)

ข้อคิดดีๆ เกี่ยวกับเรื่องการดูแล้วสื่อสังคมออนไลน์และเว็บไซต์ห้องสมุด 6 ข้อ ดังนี้
1. อัพเดทอย่างสม่ำเสมอ
2. สามารถให้บริการผ่านสื่อออนไลน์
3. ใส่ใจกับความคิดเห็นหรือคำถามของผู้ใช้บริการ
4. ไม่นำเรื่องแย่ๆ ของผู้ใช้บริการมาลง
5. พูดคุยอย่างเป็นกันเองกับผู้ใช้บริการ
6. จัดกิจกรรมทุกครั้งควรนำมาลงให้ผู้ใช้บริการเข้ามาชม

ก่อนจบผมได้แนะนำให้เพื่อนๆ ตามอ่านเรื่องราวห้องสมุด บรรณารักษ์ และหนังสือจากบล็อกต่างๆ ด้วย
ถ้าไม่รู้จะเริ่มจากไหนให้เข้าไปที่ http://blogsearch.google.co.th
แล้วค้นคำว่า ห้องสมุด บรรณารักษ์ หนังสือ จะทำให้เจอเรื่องที่น่าอ่านมากมาย

เอาเป็นว่านี่ก็เป็นบทสรุปของสไลด์และงานบรรยายของผมแบบคร่าวๆ นะครับ
ถ้าเพื่อนๆ ต้องการข้อมูลส่วนไหนเพิ่มเติมหรือสงสัยอะไรก็ส่งเมล์มาถามได้นะครับที่ dcy_4430323@hotmail.com

เอาเป็นว่าวันนี้ผมคงหยุดไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อนนะครับ แล้วเจอกันใหม่ อิอิ

ชมภาพบรรยากาศในวันนั้นได้ที่ http://www.library.rmutt.ac.th/?p=4860

ปล. ขอบคุณภาพสวยๆ จากทีมงานมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี

บทสรุป เรื่อง ICT กับงานห้องสมุดมีชีวิตในโรงเรียน

เมื่อวานผมเกริ่นไปแล้วว่าผมไปบรรยายในงานประชุมเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาห้องสมุดมีชีวิตในโรงเรียน (รุ่นที่4) แล้วก็ทิ้งท้ายว่าผมจะสรุปการบรรยายของผมให้อ่าน วันนี้เลยขอทำหน้าที่ในส่วนนี้ต่อ เรื่องที่ผมบรรยายในงานนี้ คือ “ICT กับงานห้องสมุดมีชีวิตในโรงเรียน

เอกสารประกอบการบรรยายเพื่อนๆ สามารถชมได้จาก

หรือเปิดได้จาก http://www.slideshare.net/projectlib/ict-for-living-library-at-school

ดูสไลด์แล้วอาจจะงงๆ หน่อย งั้นอ่านคำอธิบายและบทสรุปของเรื่องนี้ต่อเลยครับ

บทสรุป ICT กับงานห้องสมุดมีชีวิตในโรงเรียน

เริ่มต้นจากการบรรยายถึงความหมายและบทบาทของบรรณารักษ์ยุคใหม่ หรือที่ผมชอบเรียกว่า cybrarian ซึ่งหลักๆ ต้องมีความรู้ด้านบรรณารักษ์และความรู้ที่เกี่ยวกับไอที

จากนั้นผมจึงเปรียบเทียบว่าทำไมบรรณารักษ์ต้องรู้ไอที ซึ่งหลายๆ คนชอบมองว่าเป็นหน้าที่ของโปรแกรมเมอร์ ผมจึงขอย้ำอีกครั้งว่า บรรณารักษ์ ไม่ใช่ โปรแกรมเมอร์ เราไม่ต้องรู้ว่าเขียนโปรแกรมอย่างไรหรอก แต่เราต้องรู้จัก เข้าใจ และนำโปรแกรมไปใช้ให้ถูกต้อง

ทักษะด้านไอทีที่บรรณารักษ์ควรรู้ (สำหรับห้องสมุดมีชีวิตในโรงเรียน) ผมขอแยกเรื่องหลักๆ ออกเป็น 7 กลุ่ม คือ
1. ความรู้และทักษะในกลุ่มโปรแกรมสำนักงาน
2. ความรู้และทักษะในกลุ่มโปรแกรมสำหรับสื่อ
3. ความรู้และทักษะด้านการใช้งานระบบเครือข่าย
4. ความรู้และทักษะในกลุ่มพื้นฐานคอมพิวเตอร์
5. ความรู้และทักษะที่เกี่ยวกับอุปกรณ์อื่นๆ
6. ความรู้และทักษะในกลุ่มการใช้งานอินเทอร์เน็ต
7. ความรู้และทักษะการใช้งานเว็บไซต์ 2.0


เมื่อเห็นทักษะไอทีที่ผมนำเสนอไปแล้ว เพื่อนๆ อาจจะบอกว่าง่ายจะตาย ไม่ต้องทำงานซับซ้อนด้วย
แต่เชื่อหรือไม่ว่า เรื่องง่ายๆ ของบรรณารักษ์ บางครั้งมันก็ส่งผลอันใหญ่หลวงอีกเช่นกัน

จากนั้นผมก็ให้ชมวีดีโอเรื่อง social revolution (คลิปนี้ถูกลบไปจาก youtube แล้ว โชคดีที่ผมยังเก็บต้นฉบับไว้)

จากนั้นผมก็ได้พูดถึง social media tool ว่ามีมากมายที่ห้องสมุดสามารถนำมาใช้ได้
เช่น Blog email msn facebook twitter youtube slideshare Flickr

ซึ่งผมขอเน้น 3 ตัวหลักๆ คือ blog, facebook, twitter โดยเอาตัวอย่างของจริงๆ มาให้ดู
Blog – Libraryhub.in.th
Facebook – Facebook.com/kindaiproject / Facebook.com/Thlibrary
twitter – twitter.com/kindaiproject

จากนั้นผมก็ฝากข้อคิดดีๆ เกี่ยวกับเรื่องการดูแล้วสื่อสังคมออนไลน์และเว็บไซต์ห้องสมุด 6 ข้อ ดังนี้
1. อัพเดทอย่างสม่ำเสมอ
2. สามารถให้บริการผ่านสื่อออนไลน์
3. ใส่ใจกับความคิดเห็นหรือคำถามของผู้ใช้บริการ
4. ไม่นำเรื่องแย่ๆ ของผู้ใช้บริการมาลง
5. พูดคุยอย่างเป็นกันเองกับผู้ใช้บริการ
6. จัดกิจกรรมทุกครั้งควรนำมาลงให้ผู้ใช้บริการเข้ามาชม

ก่อนจบผมได้แนะนำให้เพื่อนๆ ตามอ่านเรื่องราวห้องสมุด บรรณารักษ์ และหนังสือจากบล็อกต่างๆ ด้วย
ถ้าไม่รู้จะเริ่มจากไหนให้เข้าไปที่ http://blogsearch.google.co.th
แล้วค้นคำว่า ห้องสมุด บรรณารักษ์ หนังสือ จะทำให้เจอเรื่องที่น่าอ่านมากมาย

เอาเป็นว่าสไลด์นี้ก็จบแต่เพียงเท่านี้ครับ ไว้วันหลังผมจะถยอยนำสไลด์มาขึ้นเรื่อยๆ นะครับ
จริงๆ ไปบรรยายมาเยอะแต่เพิ่งจะได้เริ่มเขียนเรื่องเล่าเล็กๆ น้อยๆ ให้เพื่อนๆ อ่าน

วันนี้ก็ขอลาไปก่อนครับ


10 ข้อปฏิบัติที่จะทำให้คุณกลายเป็นบรรณารักษ์คนใหม่

ภาพเดิมๆ ของบรรณารักษืในสายตาผู้ใช้บริการ คือ “บรรณารักษ์เป็นเพียงแค่คนเฝ้าหนังสือในห้องสมุด”
การจะเปลี่ยนภาพลักษณ์หรือค่านิยมเหล่านี้ได้ มันก็ต้องขึ้นอยู่กับเราว่า “จะยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองมั้ย”


คำถามที่ตามมา “อยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง แล้วต้องทำอย่างไรหล่ะ”
บทความนี้ผมนำมาจากบทความที่อาจารย์ Michael Stephens ใช้สอนนักศึกษาของเขา
ชื่อเรื่องตามต้นฉบับ คือ “Ten Rules for the New Librarians

บทความนี้เขียนตั้งแต่ปี 2006 นี่ก็ผ่านมาเกือบ 5 ปีแล้ว แต่ผมว่ามันก็ยังพอใช้ได้นะ
เอาเป็นว่าผมจะขอแปลเรื่องนี้แล้วกัน โดยใช้ชื่อว่า “10 ข้อปฏิบัติที่จะทำให้คุณกลายเป็นบรรณารักษ์คนใหม่”

ข้อปฏิบัติเพื่อเป็นบรรณารักษ์คนใหม่ได้ มีดังนี้

1. Ask questions (ตั้งคำถาม)
– ในขณะที่ถูกสัมภาษณ์งานบรรณารักษ์ พยายามอย่าให้คนสัมภาษณ์งานถามเราเพียงฝ่ายเดียว เราควรจะต้องถามและพยายามเรียนรู้เรื่องห้องสมุดนั้นๆ ด้วย เช่น ถามคำถามกลับไปว่าตอนนี้ห้องสมุดมีโครงการไอทีหรือปล่าว และมีแผนนโยบายของห้องสมุดเป็นอย่างไร

2. Pay attention (เอาใจใส่)
– เวลาสัมภาษณ์งานบรรณารักษ์ ก็ขอให้มีความเอาใจใส่และสนใจกับคำถาม ที่คนสัมภาษณ์ถามด้วย ไม่ใช่ยิงคำถามอย่างเดียว ในการเอาใจใส่นี้อาจจะแทรกความคิดเห็นของเราลงไปในคำถามด้วย

3. Read far and wide (อ่านให้เยอะและอ่านให้กว้าง)

– แน่นอนครับ บรรณารักษ์เราต้องรู้จักศาสตร์ต่างๆ รอบตัวให้ได้มากที่สุด ยิ่งอ่านมากยิ่งรู้มากโดยเฉพาะข่าวสารในแวดวงบรรณารักษ์

4. Understand copyright (เข้าใจเรื่องลิขสิทธิ์)
– เรื่องลิขสิทธิ์ดูอาจจะเป็นเรื่องของกฎหมายซึ่งหลายๆ คนมองว่าไกลตัว แต่จริงๆ แล้วผมก็อยากบอกว่ามันมีความเกี่ยวข้องกับห้องสมุดโดยตรงในเรื่องของการเผยแพร่ข้อมูลสารสนเทศต่างๆ ในห้องสมุด รวมถึงสื่อออนไลน์ของห้องสมุดด้วย

5. Use the 2.0 tools (ใช้เครื่องมือ 2.0)
– ตรงๆ เลย ก็คือ ต้องรู้จักและนำเอา web 2.0 มาประยุกต์ใช้กับการให้บริการในห้องสมุด หรือบางคนอาจจะเคยได้ยินเรื่อง library 2.0 ก็ว่างั้นแหละ

6. Work and Play (ทำงานอย่างมีความสุข)
– บรรณารักษ์ยุคใหม่อย่างน้อยต้องรู้จักการประยุกต์การทำงานให้ ผู้ทำงานด้วยรู้สึกสนุกสนานกับงานไปด้วย เช่น อาจจะมีการแข่งขันในการให้บริการกัน หรือประกวดการให้บริการกันภายในห้องสมุดก็ได้

7. Manage yourself (จัดการชีวิตตัวเอง)
– บางคนอาจจะบอกว่าทำไมบรรณารักษ์ต้องทำโน้นทำนี่ “ฉันไม่มีเวลาหรอก” จริงๆ แล้วไม่ใช่ว่าไม่มีเวลาหรอกครับ แต่เพราะว่าเขาไม่จัดการระเบียบชีวิตของตัวเอง ดังนั้นพอมีงานจุกจิกมาก็มักจะบอกว่าไม่มีเวลา ดังนั้นบรรณารักษ์ยุคใหม่นอกจากต้องจัดการห้องสมุดแล้ว การจัดการตัวเองก็ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน

8. Avoid technolust (ปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยี)

– ห้ามอ้างว่าไม่รู้จักเทคโนโลยีโน้น หรือเทคโนโลยีนี้ บรรณารักษ์ยุคใหม่ต้องหัดและทดลองใช้เทคโนโลยีเบื้องต้นให้ได้

9. Listen to the reasoned librarians (รับฟังความคิดเห็นของบรรณารักษ์ด้วยกัน)
– อย่างน้อยการรับฟังแบบง่ายๆ ก็คือ คุยกับเพื่อนร่วมงานดูว่ามีปัญหาอะไรหรือไม่ในการบริการ บรรณารักษ์ต้องช่วยเหลือกัน อย่างต่อมานั่นก็คือ การอ่านบล็อกของบรรณารักษ์ด้วยกันบ้าง บางทีไม่ต้องเชื่อทั้งหมด แต่ขอให้ได้ฟังความคิดเห็นกันบ้าง

10. Remember the Big Picture (มองภาพรวมให้ได้)

– การมองภาพรวมของการทำงานในห้องสมุดจะทำให้เราเข้าใจว่างานต่างๆ ในห้องสมุดล้วนแล้วแต่มีความสอดคล้องกัน การทำงานจึงต้องอาศัยความเชื่อมโยง หากไม่เห็นภาพรวมของห้องสมุดเราก็จะทำงานไม่มีประสิทธิภาพ

เป็นอย่างไรกันบ้างครับ คิดว่า 10 ข้อปฏิบัติเหล่านี้ยากเกินไปหรือปล่าว “แล้วจะทำได้มั้ย”
ไม่ต้องกลัวครับผมไม่ได้คาดหวังว่าเพื่อนๆ จะต้องทำตามเป๊ะๆ แต่นำเสนอมุมมองมากกว่า
สำหรับผมก็พร้อมที่จะปฏิบัติตามทั้งหมด บางข้ออาจจะทำได้ไม่เต็มที่แต่อย่างน้อยเราก็ได้ทำมัน